นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะเก็บภาษีผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุการลงทุน (เทอมฟันด์) เช่นเดียวกับเงินฝากประจำที่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ว่า เห็นด้วยในหลักการเรื่องดังกล่าวว่ามีความสมเหตุสมผล เนื่องจากการลงทุนในเทอมฟันด์ได้รับสิทธิเว้นภาษีมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในตลาด เพราะผลตอบแทนของการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หลังเก็บภาษีก็ยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ และที่ผ่านมาจากการเข้าพูดคุยกับรัฐบาลมีการประเมินว่าการเก็บภาษี 15% จากผลตอบแทนสุทธิของเทอมฟันด์จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลราว 6-7 พันล้านบาทต่อปี ขณะที่ประเทศไทยยังมีความต้องการใช้งบประมาณอีกมาก
"หากมองในฐานะของประชาชน ก็เห็นด้วยกับการเก็บภาษีดังกล่าว เพราะผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีจากภาครัฐ ซึ่งการจะกลับมาเก็บภาษีก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะนำเงินที่ได้จากการเก็บภาษีไปพัฒนาประเทศ"นางวรวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นางวรวรรณ มองว่า การบริหารกองทุนตราสารหนี้ในอนาคตผู้จัดการกองทุนอาจจะต้องใช้ความสามารถมากขึ้นบ้างในการจูงใจผู้ลงทุน จากเดิมที่มีความได้เปรียบจากการที่ได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้น หากมองในมุมของ บลจ.จึงอาจได้รับผลกระทบบ้าง เพราะการเก็บภาษีจะทำให้ผลตอบแทนกลับมาใกล้เคียงกับเงินฝากธนาคาร แต่หาก บลจ.ใดสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีก็เชื่อว่าสามารถดีงดูดเงินลงทุนได้
"เราไม่สามารถบอกได้ว่าเงินที่ลงทุนอยู่นั้นจะไหลออกหรือไหลเข้า หากมีการจัดเก็บษี ซึ่งมองว่าการเคลื่อนย้ายเงินไปลงทุนตรงไหนนั้นก็เป็นไปตามกลไกตลาด แต่หากมองไปลึกๆ แล้วถึงแม้ว่าจะมีการเก็บภาษี 15% เท่ากับเงินฝาก แต่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอยู่ในระดับหนึ่ง"นางวรวรรณ กล่าว
ด้านภาพรวมเศรษฐกิจไทยมองว่ากำลังซื้อในส่วนของผู้มีรายได้น้อยยังไม่ฟื้นตัว ทำให้กำลังซื้อของประเทศยังมีปัญหา ในขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐล่าช้าเกินกว่าที่จะเข้ามากระตุ้นกำลังซื้อได้