นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) กล่าวว่า ภาพรวมความต้องการใช้ถ่านหินในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่าความต้องการใช้ถ่านหินมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยอดคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากลูกค้าในประเทศปัจจุบัน มีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/60 แล้ว
โดยตลาดในประเทศได้ประโยชน์จากการเพิ่มกำลังการผลิตของลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่ได้รับแรงผลักดันจากการลงทุนของทั้งภาครัฐฯ และภาคเอกชนเพื่อสร้างสาธารณูปโภค และที่พักอาศัย ขณะที่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นความต้องการใช้ถ่านหินยังทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันก่อนปีก่อนหน้า
ขณะที่ความต้องการจากตลาดต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก นอกจากนี้ ยังมีตลาดประเทศเวียดนาม และอินเดีย ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ พบว่าตลาดต่างประเทศที่ความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นนั้น จะเป็นประเทศที่กำลังมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาและมีการลงทุนค่อนข้างมาก
สำหรับลูกค้าตลาดต่างประเทศในส่วนของบริษัทนั้น เชื่อว่าในไตรมาสที่ 3-4 ปีนี้ จะเติบโตสูงขึ้นจากการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับพันธมิตรประเทศจีนที่ได้ลงนามไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งในประเทศเวียดนาม ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท ทำให้เชื่อมั่นว่า สัดส่วนการขายในต่างประเทศปี 60 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ได้ตามเป้าหมาย จากปี 59 ที่มีรายได้จากการขายในต่างประเทศ ประมาณ 20% ของรายได้รวม
"สำหรับความกังวลเรื่องคำสั่งปิดโรงงานถ่านหินในประเทศจีนนั้น บริษัทประเมินว่าไม่กระทบต่อผลประกอบการ เนื่องจากประเทศจีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ ยังมีความต้องการอีกมาก โดยประเมินว่าความต้องการใช้ถ่านหินของจีนคิดเป็น 50% ของความต้องการถ่านหินทั่วโลก และ ณ ปัจจุบัน แม้รัฐบาลจีนจะสั่งปิดโรงงานถ่านหินไปแล้วกว่า 100 แห่ง ก็ยังมีโรงงานถ่านหินอีกกว่า 1,000 แห่งที่มีการใช้ถ่านหินเพิ่มผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปี"นายพนม กล่าว
นายพนม กล่าวอีกว่า จากความต้องการใช้ถ่านหินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว บริษัทได้ขยายการจัดหาถ่านหิน เพื่อจัดจำหน่ายจากแหล่งใหม่ๆมากขึ้นนอกเหนือจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จของบริษัทในการพัฒนาการจัดหาถ่านหินให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและมีต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ ในปี 60 บริษัทจะมุ่งเน้นการดำเนินงานของ บริษัท เอจีอี เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ดำเนินธุรกิจบริการท่าเรือ คลังสินค้าและโลจิสติกส์ โดยจะเร่งผลักดันให้เอจีอี เทอร์มินอล ขยายการให้บริการต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ ไปสู่กลุ่มลูกค้าภายนอก จากเดิมที่มีกลุ่มลูกค้าหลักคือบริษัท ทั้งนี้ เพื่อขยายฐานรายได้ให้กับเอจีอี เทอร์มินอล และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจของบริษัท
โดยปีนี้เอจีอี เทอร์มินอล จะมีการลงทุนเพิ่ม ประกอบด้วยการลงทุนขยายที่ดินอีก 112 ไร่ จากเดิมที่มีพื้นที่ประมาณ 175 ไร่ รวมทั้งการขยายคลังสินค้า สอดรับกับพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น และความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น
"การเน้นธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นการดำเนินงานของบริษัทย่อยนั้น เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการในอุตสาหกรรมถ่านหิน อีกทั้งยังเป็นการบริหารสินทรัพย์ให้มีมูลค่าสูงขึ้นด้วย"นายพนม กล่าว