บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/60 บริษัทกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) เพิ่มขึ้น 60% อยู่ที่ 7,681 ล้านบาท กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Net Profit after tax and NCI) อยู่ที่ 4,426 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบปีต่อปี และมีกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 0.87 บาทต่อหุ้น ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 24% สอดคล้องกับรายได้จากการขายรวมที่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบปีต่อปี
ผลประกอบการโดยรวที่เติบโตขึ้นเป็นผลจากการบูรณาการโดยรวมและโมเดลทางธุรกิจที่มีความหลากหลายทั่วโลก ผลการดำเนินงานรายไตรมาสได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของกำไรจากความสำเร็จในการบูรณาการธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) และกิจการอื่นๆ ที่เข้าซื้อในปี 59 รวมถึงการได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการกลับมาดำเนินการผลิตตามปกติของโรงงานผลิต EOEG ของ IVL ในสหรัฐ
เมื่อเทียบปีต่อปี บริษัทมีปริมาณการผลิตและรายได้จากการขายรวมเพิ่มขึ้น รวมทั้ง Core EBITDA เติบโตขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของผลประกอบการที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเหมาะสมทางกลยุทธ์ของการเข้าซื้อกิจการที่คัดสรรแล้วของบริษัทฯ ซึ่งช่วยส่งเสริมคุณภาพของผลประกอบการและลดความผันผวนตลอดทั้งวัฏจักรธุรกิจ อุตสาหกรรมยังคงเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์อุปทานส่วนเกินที่สะสมตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
ในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 ธุรกิจปัจจุบันของ IVL ไม่รวมการเข้าซื้อกิจการในปี 59 มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เป็นผลจากการปรับปรุงการใช้กำลังผลิตและโครงการเพื่อความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงานที่ช่วยลดต้นทุน บริษัทมีปริมาณการผลิตเติบโตขึ้นในทุกภูมิภาค อัตราการผลิตโดยรวมอยู่ที่ 86% ในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาส 1/60 ส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้นและมีการใช้สินทรัพย์ที่ดีขึ้น Core EBITDA ในรอบ 12 เดือนอยู่ที่ 30 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปีก่อนและมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนของบริษัท (ROCE) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12% สะท้อนให้เห็นถึงความรอบคอบของบริษัทฯ ในการสร้างการเติบโตและการจัดสรรเงินทุน
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม IVL กล่าวว่า เราเริ่มต้นปี 60 อย่างแข็งแกร่งจากผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในไตรมาส 1/60 ในทุกตัวชี้วัดการดำเนินงานที่สำคัญ โมเดลทางธุรกิจที่มีการบูรณาการอย่างเป็นเอกลักษณ์และการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เราสามารถรักษาผลการดำเนินงานดีและสูงกว่าในอุตสาหกรรม แม้ว่าอุตสาหกรรมยังคงเผชิญสถานการณ์อุปทานส่วนเกินอย่างต่อเนื่อง ผลประกอบการที่แข็งแกร่งและ EBITDA ที่เติบโตอย่างชัดเจนทั้งในไตรมาสนี้และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ของเราที่มุ่งเน้นการสร้างความหลากหลายของรายได้ การสร้างการเติบโตในภูมิภาคหลักและการสร้างการบูรณาการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเติม
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา IVL มีการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายของแหล่งรายได้อย่างชัดเจนผ่านการขยายตัวของกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA การเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA นี้เอง ส่งผลให้บริษัทฯ มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ HVA ในปัจจุบัน คิดเป็น 50% ของ Core EBITDA รวม ช่วยให้บริษัทฯ มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และเพื่อให้การดำเนินกลยุทธ์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ธุรกิจ HVA ของบริษัทฯ มีการขยายตัวเพิ่มเติมในแนวดิ่งใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยและผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนในนวัตกรรมและสิทธิบัตร จากจุดเริ่มต้น ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ HVA มีรายได้ราว 3 พันล้านเหรียญสหรัฐและรองรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบที่มีการเติบโตในแต่ละตลาดประมาณ 7% เมื่อเทียบปีต่อปี การเข้าซื้อกิจการล่าสุด ได้แก่ บริษัท Glanzstoff ที่ได้ประกาศไปแล้วนั้น มีความเหมาะสมกับกลุทธ์ผลิตภัณฑ์ HVA ในกลุ่มยานยนต์
IVL ตั้งเป้าการลงทุนราว 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในโครงการที่ช่วยสร้างการเติบโตตามที่ระบุไว้แล้ว รวมถึงโครงการปรับปรุงการผลิตในช่วง 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทเชื่อว่าจะมีช่องว่างทางการเงินสำหรับการลงทุนเพิ่มเติมจากการประมาณการรายได้ที่พึงรับตามเกณฑ์คงค้างและความสามารถในการกู้ยืมอย่างรอบคอบ บริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญจาก 4.97 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 1/59 เป็น 7.73 พันล้านบาทในไตรมาส 1/60
“ปีนี้จะเป็นอีกปีที่เราจะเติบโตอย่างมีวินัย การขยายกำลังการผลิต PTA ในเมืองร็อตเตอร์ดัมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จใจช่วงกลางปีนี้และการเริ่มดำเนินการผลิตของโรงงานแครกเกอร์ในสหรัฐในปี 60 ไม่เพียงแต่สร้างการบูรณาการแต่ยังคาดว่าจะช่วยเพิ่มคุณภาพและการเติบโตของผลประกอบการอย่างยั่งยืนให้ไอวีแอล" นายโลเฮีย กล่าว