สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) ยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 507,600,000 หุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 254,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Wybrant Holding Limited (Wybrant) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 253,600,000 หุ้น ซึ่งบริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.กสิกรไทย และบล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเงินทุนเพื่อการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพภายในบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ
บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร และผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นสำหรับผู้ใช้งานประเภทลูกค้าทั่วไป โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทฯ ผลิตผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร และผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ในโรงงานผลิต 7 แห่งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศเมียนมา โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 87.7 ล้านแกลลอนต่อปี นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2560 โรงงานผลิตของบริษัทฯ 1 แห่งที่ประเทศกัมพูชาได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่งผลให้ ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตทั้งสิ้น 8 แห่ง บริษัทฯ ยังมีกำลังการผลิตเพียงพอสำหรับเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีโรงงานผลิตที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนมา ณ วันที่ของเอกสารฉบับนี้ บริษัทฯ คาดว่าโรงงานผลิตแห่งใหม่ในประเทศอินโดนีเซียและโรงงานผลิตแห่งใหม่ในประเทศกัมพูชาจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะย้ายโรงงานย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวาและคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561
บริษัทฯ มีสำนักงานขายตั้งอยู่ในตลาดที่สำคัญในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเมียนมา และประเทศกัมพูชา
ภาพรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวที่บริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้ใช้งานประเภทลูกค้าทั่วไปในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่ม ดังนี้ 1. ผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (Decorative Paint and Coating Products) และ2. ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (Non-Decorative Paint and Coating Products)
ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีบริษัทย่อยในกลุ่มจำนวน 14 บริษัท ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ
โครงการในอนาคต บริษัทฯ มีนโยบายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตสีทาอาคารชั้นนำในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีแผนการลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงงานในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเมียนมา และประเทศกัมพูชา ซึ่งสามารถสรุปรายละเอียดของโครงการได้ดังนี้ ก่อสร้างโรงงานผลิตสี ที่ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 2/60 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/61 ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 670 ล้านบาท, ก่อสร้างโรงงานผลิตสี (ย้ายฐานการผลิตจากเมืองย่างกุ้ง) ทำที่ประเทศเมียนมา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3/60 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/61 ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 312 ล้านบาท และก่อสร้างโรงงานผลิตสีที่ประเทศกัมพูชา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4/60 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/61 ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 202 ล้านบาท โดยโครงการนี้อยุ่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
ผลดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2559 มีสินทรัพย์รวม 9,644.4 ล้านบาท หนี้สินรวม 8,866.4 ล้านบบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 778.0 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 16,297.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,507.4 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,029 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,029 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,775 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,775 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท หลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวนทั้งสิ้น 2,029 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,029 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 3 เม.ย.2560 คือ TOAGH ถือหุ้น 608,400,000 หุ้น คิดเป็น 34.3% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 30% รองลงมาเป็น Wybrant ถือหุ้น 253,600,000 หุ้น คิดเป็น 14.3% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะไม่ปรากฏการถือหุ้นของบริษัทฯอีกเลย
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี