ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม บล.ธนชาต ที่ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 9, 2017 13:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.ธนชาต ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกซึ่งมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูง ของกลุ่มธนชาต

ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทมาจากการมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และมีแนวทางการบริหารที่ระมัดระวัง ตลอดจนความสามารถในการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และการมีสภาพคล่องและฐานทุนที่เพียงพอ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากเครือข่ายและความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของธนาคารธนชาต (TBANK) ที่มีอยู่อย่างกว้างขวางทั่วประเทศซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของบริษัทอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสถานะความเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของกลุ่มธนชาตและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารธนชาตต่อไปได้

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากสถานะเครดิตของธนาคารธนชาตหรือระดับของการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนชาตเปลี่ยนแปลงไป ส่วนโอกาสที่อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นนั้นมีจำกัดเมื่อคำนึงถึงสถานะเครดิตในปัจจุบันของธนาคารธนชาต

ในฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีธนาคารธนชาตถือหุ้น 100% และเป็นสมาชิกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนชาต บล. ธนชาตจึงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนชาตทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและในด้านการเงิน รวมทั้งยังใช้ประโยชน์จากสาขาของธนาคารธนชาตในการขยายฐานลูกค้ารายย่อยมาโดยตลอด โดยกว่า 30% ของบัญชีเปิดใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารธนชาต บริษัทยังใช้ผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินและบริการของธนาคารธนชาตในการต่อยอดการให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรอีกด้วย

นอกเหนือจากความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจแล้ว ธนาคารธนชาตยังให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทผ่านการให้วงเงินสินเชื่อด้วยเช่นกัน การเกื้อหนุนเหล่านี้ช่วยทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่มีความสัมพันธ์กับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทางการเงินเต็มรูปแบบ

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ที่ระดับ 4%-5% โดยในปี 2559 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 4.17% ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 7 จากจำนวนนายหน้าทั้งหมด 36 ราย บริษัทได้ลงนามในสัญญาการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Daiwa Securities Group Inc. (Daiwa) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่นในปี 2556 นอกจากนี้ ในปี 2558 บริษัทยังได้ลงนามในสัญญาการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Affin Hwang Investment Bank Berhad (Affin Hwang) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของประเทศมาเลเซียด้วย ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว บริษัทกับพันธมิตรจะดำเนินธุรกิจเผยแพร่บทวิเคราะห์ (Co-branded Research) แก่กลุ่มลูกค้าสถาบันจากต่างประเทศโดยมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าในตลาดสำคัญ ๆ ในแถบเอเซีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานนักลงทุนต่างชาติได้อีกครั้งหนึ่ง

บริษัทมีเงินลงทุนที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนประมาณ 2-3 แห่ง โดย ณ เดือนธันวาคม 2559 มูลค่าตลาดของเงินลงทุนเหล่านี้อยู่ที่ 3,029 ล้านบาท แม้ว่าเงินลงทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนแก่บริษัทในรูปของรายได้จากเงินปันผล แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อยู่บ้าง นอกเหนือไปจากนี้แล้วก็ถือว่าบริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ไม่มากนักเนื่องจากบริษัทมีนโยบายการลงทุนเพื่อผลตอบแทนแบบ Arbitrage กับการซื้อขายเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เท่านั้นโดยไม่มีการเก็งกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำวัน บริษัทจัดว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิตจากการให้สินเชื่อค่อนข้างมาก โดยยอดสินเชื่อของบริษัทคิดเป็น 6.1% ของสินเชื่อรวมของทั้งอุตสาหกรรมและคิดเป็น 104% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยบริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาท เทียบกับ 3,300 ล้านบาท ณ สิ้นปีก่อนหน้า ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตในส่วนนี้ได้ต่อไปโดยใช้เกณฑ์การเรียกหลักประกันเพิ่มและการบังคับขายที่เคร่งครัด รวมทั้งคงนโยบายการกำหนดเกณฑ์ของหลักประกันและการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ดีและเทียบเคียงได้กับคู่แข่ง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังควบคุมได้โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิที่ระดับ 58% ในปี 2559 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทได้รับผลกระทบในทางลบมาโดยตลอดจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากการแข่งขันด้านอัตราค่าธรรมเนียมยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง คณะผู้บริหารของบริษัทก็อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการทำกำไรในปีต่อไป บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 3,380 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 48% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 7% ที่ทางการกำหนด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ