หุ้น TRUBB ราคาพุ่งพรวดขึ้น 15.22% มาอยู่ที่ 2.42 บาท เพิ่มขึ้น 0.32 บาท มูลค่าซื้อขาย 32.89 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.34 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.44 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.34 บาท
บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/60 มีกำไรสุทธิ 103.77 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.15 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.81 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.00 บาท
พร้อมอธิบายว่า ผลการดาเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 มีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำยางสดในปี 2560 มีการปรับตัวที่สูงขึ้นมาก จากราคา 39 บาทต่อกิโลกรัมในไตรมาสที่ 1 ปี 2559 เป็น 74 บาทต่อกิโลกรัมในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยยาง)
สำหรับงบการเงินในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 มีรายได้จากการขายและบริการ 3,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,140 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61 ซึ่งเป็นผลจากการที่ราคายางที่เพิ่มสูงขึ้น สาหรับต้นทุนขายและบริการ 2,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,013 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 60 เป็นผลมาจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจ และทางกลุ่มธุรกิจมีการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทาให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง กลุ่มธุรกิจยังคงมีการแก้ไขคุณภาพและพัฒนาการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง ให้สามารถผลิตได้ปริมาณและคุณภาพที่ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
กลุ่มบริษัทได้ผลกำไรเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มธุรกิจดังนี้
1. กลุ่มธุรกิจน้ำยางข้นและน้ำยางแปรรูป มีกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ่นจากปีที่แล้ว 101 ล้านบาท เนื่องจากราคายางที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว และต้นทุนต่อหน่วยลดลง เพราะมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจได้เพิ่มเติมในส่วนของกำลังการผลิต และการจัดเก็บวัตถุดิบตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่งผลทางกลุ่มธุรกิจมีวัตถุดิบมากขึ้น เพื่อรองรับตามความต้องการและผลผลิตในอนาคต นอกจากนี้ จากราคายางที่ปรับตัวขึ้น และปริมาณการผลิตที่เพิ่มทำให้กลุ่มธุรกิจมีผลพลอยได้จากการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งปริมาณการขายผลพลอยได้เพิ่มขึ้น 321 ตัน และรายได้จากการขายผลพลอยได้เพิ่มขึ้น 76.3 ล้านบาท
2. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์จากยาง มีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปี 2560 ซึ่งทางกลุ่มธุรกิจมีปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 142 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31 ซึ่งรายได้การจากขายผลิตภัณฑ์ยางยืดเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เปรียบเทียบจากไตรมาสที่ 1 ปี 2559 และ 2560 สืบเนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีคุณภาพที่ดีเป็นที่ต้องการของตลาด ประกอบกับยังคงมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากยางพาราในตลาดโลก และจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น ทาให้กลุ่มธุรกิจสามารถลดต้นทุนต่อหน่วยลงเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากค่าธรรมเนียมกองทุนสงเคราะห์ที่เรียกเก็บตามราคายางในตลาดและปริมาณการส่งออก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.40 บาท เป็น 2.00