โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) หลังคาดว่าช่วงครึ่งหลังปี 60 ผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดจากโรงไฟฟ้า 3 แห่งทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้แก่ โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น เฟส 2 (BIC-2) , โรงไฟฟ้า IRPC-CP เฟส 2 และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ichinoseki Solar Power ในญี่ปุ่น โดย 2 โรงแรกจะ COD ในไตรมาส 3/60
ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 1/60 ออกมาดีกว่าคาด และในไตรมาส 2/60 ยังได้ปัจจัยบวกจากค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.ที่ปรับเพิ่มอีก 12.52 สตางค์/หน่วยมาช่วยหนุนกำไร โดยในปี 60 คาดการณ์กำไรสุทธิในช่วง 2,800-2,955 ล้านบาท เติบโต 3.7-10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,699.90 ล้านบาท และยังคาดว่าในปี 61 กำไรจะเติบโตมากราว 22% เป็น 3,500 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง 3 แห่งเต็มปี
ด้านราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงในช่วงที่ GPSC ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1/60 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ราคามี upside เพิ่มขึ้นด้วย
ราคาหุ้น GPSC พักเที่ยงอยู่ที่ 35 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.16%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ธนชาต ซื้อ 42.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 42.00 ซีไอเอ็มบีฯ ซื้อ 41.00 ทิสโก้ ซื้อ 39.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ Trading Buy 39.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 38.00 บัวหลวง ซื้อ 38.00
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต กล่าวว่า GPSC รายงานกำไรไตรมาส 1/60 ที่ราว 750 ล้านบาท ลดลงราว 13% จากงวดปีก่อน แต่ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ และคาดว่าในไตรมาส 2/60 กำไรจะดีขึ้นเนื่องจากโรงไฟฟ้า IRPC-CP เฟส 1 กลับมาดำเนินงาน หลังปิดซ่อมไปในไตรมาส 1/60
แนวโน้มผลกำไรในครึ่งหลังปี 60 จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น เพราะจะโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่จะ COD ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น 2 (BIC-2) โรงไฟฟ้า IRPC-CP เฟส 2 และ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ichinoseki Solar Power ในญีปุ่น ดังนั้น คาดกำไรสุทธิ ในปี 60 เพิ่มมาเป็น 2,800 ล้านบาท เติบโต 3.7% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท แต่ในปี 61 กำไรสุทธิจะเติบโต 22% มาที่ 3,500 ล้านบาท เป็นผลจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้า 3 แห่งเต็มปี
นักวิเคราะห์จากบล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า งบการเงินไตรมาส 1/60 ออกมาดีกว่าคาดไว้ราว 750 ล้านบาท โดยกำไรในไตรมาส 1/60 คิดเป็นสัดส่วน 25% ของประมาณการกำไรในปี 60 โดยกำไรในงวดไตรมาสนี้เติบโตจากไตรมาสก่อน แต่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากลูกค้าหลักคือ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาสแรกปีนี้ ทำให้การใช้ใฟฟ้าของโรงไฟฟ้า IRPC-CP ลดลง
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 มีแนวโน้มชะลอตัวจากที่ไม่มีเงินปันผลรับจากบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด (RPCL) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 15% นั้น ตามปกติจะได้รับเงินปันผลในไตรมาส 1 และไตรมาส 3 แต่การที่ภาครัฐปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) ในเดือน พ.ค.-ส.ค. อีก 12.52 สตางค์/หน่วย จะกลับมาช่วยหนุนกำไรได้ และช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาเติบโต จากการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จำนวน 3 โรงใหม่ ทำให้คาดว่าทั้งปีนี้ GPSC จะมีกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 2,955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน ขณะที่ราคาหุ้นกลับมาอ่อนตัวลงมาก่อนหน้า ทำให้ยังมี upside เพิ่มขึ้น
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดกำไรไตรมาส 2/60 ของ GPSC ขยายตัว หนุนจากราคาและปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการปิดบำรุงซ่อมแซมโรงงานที่ลดลง ขณะที่ค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.จะหนุนกำไรให้ขยายตัว นอกจากนี้การรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้านวนคร (NNEG) ขนาด 125 เมกะวัตต์ ที่ GPSC ถือหุ้นอยู่ 30% เมื่อเทียบกับการรับรู้รายได้เพียงเล็กน้อยในไตรมาส 2/59 เพราะเป็นช่วงโรงไฟฟ้าเพิ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ก็จะเป็นปัจจัยหนุนกำไรให้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน GPSC ยังจะมีกำลังการผลิตใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วย
"เราเชื่อว่าตลาดมอง GPSC จะประกาศกำไรไตรมาส 1/60 ลดลง YoY อยู่แล้ว แต่โมเมนตัมกำไรหลังจากนี้ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น พร้อมมีอัพไซด์จากกำลังการผลิตใหม่และแนวโน้มค่าไฟฟ้าขาขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีอีกด้วย ทั้งนี้มูลค่าปัจจุบันยังไม่สะท้อนแนวโน้มการเติบโตของกำไรในอนาคตที่โดดเด่น ซื้อขายอยู่ที่ระดับ PEG ที่เพียง0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.03 เท่า และค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.18 เท่า GPSC ยังคงเป็นหุ้นที่เราชื่นชอบมากที่สุดในกลุ่มเนื่องจากกำไรมีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการของเรา ในขณะที่ความเสี่ยงต่อผลการดำเนินงานต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่น"บทวิเคราะห์ ระบุ