นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) กล่าวว่า บริษัทคาดผลว่าการดำเนินงานไตรมาส 2/60 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/60 จากการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 นี้ ส่งผลทำให้กำลังการผลิตน่าจะเพิ่มขึ้นราว 10%
ประกอบกับ บริษัทยังได้รับผลดีจากที่ภาครัฐ ได้มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.60 อีก 12.52 สตางค์/หน่วย ตามต้นทุนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น ทำให้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ของโรงไฟฟ้าทั้ง 4 แห่งในช่วงไตรมาส 2/60 เติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความคืบหน้าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ 3 โรง ที่มีกำหนดการเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาส 4/60 มีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 290 เมกะวัตต์ (MW) รวมเป็น 440 MW ในสิ้นปีนี้ โดยโรงไฟฟ้าถ่านหิน-RDF 70 เมกะวัตต์ (TG 7) ได้ผ่านการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว
ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหิน-RDF 70 เมกะวัตต์ (TG6) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน-RDF (TG8) ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่น EIA ครั้งที่ 2 คาดภายในเดือนพ.ค.นี้ หรือต้นเดือนหน้า น่าจะเห็นความชัดเจนได้ และน่าจะดำเนินการได้ในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และกำไรสุทธิปีนี้เติบโตดีกว่าปีก่อน และในปี 61 คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากปี 60 หลังรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้า TG1 ถึง TG8 เข้ามาเต็มปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ ในต่างประเทศ โดยที่ผ่านมา ได้รับคำเชิญจากผู้ประกอบการจากประเทศ กัมพูชา เมียนมา และฟิลิปปินส์ให้ไปศึกษาดูงาน คาดว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นความชัดเจนได้ว่าจะลงทุนหรือไม่
"การที่ค่า Ft เพิ่มขึ้นอีก 12.52 สตางค์/หน่วย ทำให้ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาสแรกที่ผ่านมา และจะเติบโตเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/60 ตามการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าไตรมาส 4/60 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก COD โรงไฟฟ้าใหม่ได้ครบทั้ง 3 โรง โดยมองว่า TG7 จะ COD ได้ในต้นไตรมาส 4 และ TG7 -TG8 จะ COD ได้ในช่วงกลางไตรมาส 4 นี้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมองโอกาสเข้าไปประมูลเพิ่มอีก หากภาครัฐมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากขยะ"นายภัคพล กล่าว