นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจทุกธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่องในปี 60 ได้ จากปัจจุบันมีงานในมือแล้ว 1,237 ล้านบาท สนับสนุนเป้ารายได้ทั้งปีที่วางไว้โตอีกไม่ต่ำกว่า 30% ควบคู่การให้ความสำคัญเรื่องกำไรสุทธิ หลังจากผลประกอบการไตรมาส 1/60 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 187.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 160.08 ล้านบาท
ในไตรมาส 1/60 รายได้จากงานบริการโครงข่ายใยแก้วนำแสงซึ่งถือเป็นรายได้หลักเติบโตสูงขึ้น 41.92% อยู่ที่ 117.58 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 82.85 ล้านบาท เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทฯมีการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 75 จังหวัดทั่วประเทศ จากปี 58 มีอยู่ 49 จังหวัด เพื่อให้โครงข่ายของบริษัทฯครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มเส้นทางเชื่อมต่อไปยังลูกค้า ในขณะเดียวกันโครงข่ายของบริษัทฯเป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจด้วยคุณภาพของการให้บริการ จึงทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
สัดส่วนรายได้หลักมาจากการให้บริการโครงข่ายใยแก้วนำแสง 62.99% หรือมีรายได้อยู่ที่ 117.58 ล้านบาท รองลงมาเป็นการให้บริการติดตั้งโครงข่าย คิดเป็นสัดส่วน 27.07% หรือมีรายได้อยู่ที่ 50.52 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ คิดเป็นสัดส่วน 9.94% ของรายได้จากการให้บริการ หรือคิดเป็นรายได้จำนวน 18.56 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอัตราการเข้าใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95
“ใน Q1/60 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 18.43 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.81% โดยเพิ่มขึ้นจากปี 59 เนื่องจากบริษัทสามารถหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น และควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นจำนวน 53.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 10.06 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 28.91% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจให้บริการติดตั้งโครงข่ายเพิ่มขึ้น" นายณัฐนัย กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 60 และในอนาคตมองว่าธุรกิจ Data Service ของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่ดีจากความครอบคลุมของโครงข่ายถึง 75 จังหวัด ทำให้โครงข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้น สร้างความพึงพอใจและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทฯสามารถพิสูจน์ตนเองจนสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้าได้ ทำให้บริษัทฯมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น ดังนั้นรายได้จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณการใช้งานของลูกค้าเช่าวงจร ซึ่งบริษัทฯ เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมและบริษัทเอกชนทั่วไป โดยปัจจุบันได้เพิ่มทีมงานทางด้านการขายเพื่อรองรับกับโอกาสทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และรองรับการใช้งานจากประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนธุรกิจ Data Center คาดว่ารายได้จะเติบโตจากปี 59 เนื่องจากบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเข้ามาใช้งานเพิ่มเติมและจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปีนี้ อีกทั้งบริษัทยังคาดหวังรายได้จากการร่วมทุนสร้าง Data Center แห่งใหม่ ที่คาดว่าจะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 60 ในรูปส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าอีกด้วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 พ.ค.60 บริษัทฯได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้(พาร์) จากเดิมหุ้นละ 1.00 บาท เหลือหุ้นละ 0.50 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.60 นี้ เป็นต้นไป โดย เมื่อวันที่ 25 เม.ย.60 บริษัทได้ขออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงราคาพาร์ ทั้งนี้ เพื่อให้หุ้นมีสภาพคล่องสูงขึ้น และเป็นการกระจายการถือหุ้นไปยังผู้ลงทุนได้มากขึ้น และเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนมากขึ้น