นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผูจัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไนไตรมาส 2/60 มีแนวโน้มที่ไม่ค่อยสดใส หลังนักลงทุนผิดกับการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศที่ออกมาต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ โดยเฉพาะผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดกลางและหุ้นขนาดเล็กที่นักลงทุนคาดหวังผลการดำเนินงานไว้ค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้เมื่อผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมาไม่เป็นไปตามคาดจึงมีแรงขายออกมาอย่างมาก กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลง และหุ้นขนาดใหญ่แม้ว่าจะมีผลการดำเนินที่เติบโต แต่ก็ยังเผชิญกับแรงขายออกมามากเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการเข้าลงทุนเพื่อเก็งกำไรผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกดดันจากต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ และการปรับลดขนาดงบดุลของสหรัฐฯ ที่จะทำไห้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า และมีเงินทุนไหลออกไปสู่ตลาดในสหรัฐฯมากขึ้น อีกทั้งปัจจัยด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เป็นประเทศสำคัญ เช่น ญี่ปุ่นและจีน ที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่
อีกทั้งการจ่ายเงินปันผลในเดือนพฤษภาคมทำให้มีเงินไหลออกไปจากตลาดค่อนข้างมาก ประกอบกับความน่าสนใจในการลงทุนของตลาดหุ้นมีความน่าสนใจลดลง จากมูลค่าของตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ดัชนีในช่วงต้นไตรมาส 2/60 ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,600 จุด ทำให้เกิดแรงขายออกมาในช่วงหลัง ซึ่งกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง โดยมองว่าแนวรับหรือdown side ที่จุดต่ำสุดในไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 1,500 จุด
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยไนครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น หากภาครัฐมีการเดินหน้าลงทุนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการเบิกจ่ายภาครัฐจะช่วยทำให้มีเม็ดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นไห้ภาคเอกชนลงทุนตาม อีกทั้งยังช่วยให้ผลการดำเนินของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเติบโตในทิศทางที่ดี และสามารถช่วยกระตุ้นการบริโภคให้กลับมาฟื้นตัวได้ดีเช่นเดียวกัน
"เรามองว่าหากเศรษฐกิจดี การลงทุนภาครัฐเดินหน้าอย่างเต็มที่ในครึ่งปีหลัง ก็จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นตามไนช่วงปีหลังด้วยเช่นกัน แต่นักลงทุนก็คงจะลดความคาดหวังในหุ้นขนาดกลางและเลึกลงไปค่อนข้างมาก เพราะงบฯไตรมาสแรกที่ออกมาก็ผิดหวังกันพอสมควร"นายกวี กล่าว
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองการแกว่งตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และยังคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในสิ้นปีนี้จะอยู่ในช่วง 1,570-1,600 จุด ส่วนกลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุน ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ที่แนวโน้มราคาน้ำมันและราคาถ่านหินจะปรชบตัวเพิ่มขึ้นไนช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างที่ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐเป็นตัวหนุน
ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความน่าสนใจในการลงทุน เพราะราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ออกมาค่อนข้างดีกว่าที่คาดไว้ และยังมีความแข็งแกร่งไนเรื่องผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาหลายธนาคารได้ตั้งสำรองฯไปมากแล้ว และมีการบริหารจัดการหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้เป็นอย่างดี ทำให้ความกังวลของ NPL เริ่มลดลง
อีกทั้งหากภาครัฐมีการลงทุนเกิดขึ้นจะทำให้ความต้องสินเชื่อเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ผ่านมามองว่ารายได้ดอกเบี้ยของทุกๆธนาคารจะลดลง แต่ธนาคารต่างพยายามหาช่องทางการสร้างรายได้อื่นๆเข้ามาชดเชย ซึ่งมองว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังมีโอกาสเติบโตได้ค่อนข้างดี