โบรกฯแนะซื้อบมจ.ลีซ อิท (LIT) มองแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก จากปริมาณการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้เงินของภาคเอกชน ทั้งบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทขนาดกลางและย่อม (SME) ที่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าของ LIT ประกอบกับหลังมีการเสนอขาย LIT-W1 ก็ส่งผลให้ LIT ไม่มีปัญหาในเรื่องของเงินทุน เพื่อใช้ในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ซึ่งก็น่าจะส่งผลให้ปีนี้กำไรสุทธิก็น่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในไตรมาสแรก โดยเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อน และคิดเป็น 3.9% ของสินเชื่อรวม โดยเฉพาะสินเชื่อโครงการ (Project Finance) ซึ่ง LIT ตั้งสำรองไม่มากในไตรมาสนี้ ทำให้ Coverage ratio ปรับลดลงเหลือ 73% แม้อาจเป็นแรงกดดันให้ LIT ต้องเพิ่มการตั้งสำรองในช่วงที่เหลือของปี เพื่อผลักดัน Coverage ratio ให้สูงขึ้น แต่จะชดเชยได้จากการเติบโตของรายได้ซึ่งตัวเลขในไตรมาส 1/60 ที่ออกมาถือว่าเติบโตดีกว่าประมาณการ
ราคาหุ้น LIT อยู่ที่ 11.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท (+1.77%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลดลง 0.30%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 13.00
เออีซี ซื้อ 14.75
เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 12.00
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 12.60
นางสาวสุนันทา วสะภิญโญกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า LIT รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1/60 ที่ระดับ 34.43 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าคาดการณ์ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงราว 7% และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น อยู่ที่ 55% ลดลงจาก 60% ในไตรมาสก่อน สะท้อนการเกิด Efficiency จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ดีขึ้น และแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 ก็น่าจะดีกว่าไตรมาสแรก ตามการปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น
พร้อมกันนี้ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของ LIT ปีนี้ขึ้น 12% มาอยู่ที่ 148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อน ตามการปล่อยสินเชื่อให้กับทุก ๆ โครงการ (Project loan) เป็น 850 ล้านบาท ประกอบกับ LIT ไม่มีปัญหาทางด้านเงินทุน หลังจากระดมทุนจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ รุ่นที่ 1 (LIT-W1) ซึ่งจะช่วยรองรับวงเงินการปล่อยสินเชื่อได้อีกมาก
นายณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เออีซี คาดว่ากำไรสุทธิของ LIT ในปี 60 จะเติบโตมาที่ราว 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.6% จากปีก่อน ตามการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SME ที่ยังมีอยู่มาก โดยล่าสุดได้ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการ ห้วยโสมง มูลค่าตามสัญญากว่า 215 ล้านบาท ระยะเวลา 720 วัน ส่งผลทำให้พอร์ตสินเชื่อรวมในปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2,200 ล้านบาท
ขณะที่ต้นทุนเงินทุนก็น่าจะปรับตัวลง หลังเสนอขาย LIT-W1 ได้ครบทั้งจำนวน ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 400 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
ด้านนายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 ของ LIT มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากปริมาณการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจากการเสนอขาย LIT-W1 หมดก็คาดจะทำให้ LIT เริ่มทยอยคืนหนี้ตั๋วแลกเงิน (B/E) ทำให้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงได้อีก
"เรามองแนวโน้มไตรมาส 2/60 จะเติบโตดี จากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อที่ยังดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อในไตรมาส 2 น่าจะทะลุ 2,000 ล้านบาท จากไตรมาส 1/60 อยู่ราว 1,900 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมีปัจจัยมาจากภาครัฐมีการเบิกจ่ายเงินลงทุนได้มากขึ้น และบริษัทขนาดใหญ่ และ SME ก็มีการใช้วงเงินสินเชื่อมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้าของ LIT"นายจรูญพันธ์ กล่าว
นายจรูญพันธ์ กล่าวว่า ทั้งปีนี้คาดว่า LIT จะมีกำไรสุทธิน่าจะเติบโตมาที่ 140 ล้านบาท หลังในไตรมาสแรกทำกำไรสุทธิเติบโตค่อนข้างมากมาที่ 34 ล้านบาท เติบโต 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากโมเมนตัมยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะมีการปรับประมาณการณ์ขึ้นได้ ขณะที่ราคาหุ้นก็เริ่มปรับตัวขึ้นมา ดังนั้น แนะนักลงทุนอาจจะต้องระวังเรื่องของการเก็งกำไร
ส่วนนายณัฐกร ศรีภูไฟ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า มองแนวโน้มผลการดำเนินงานของ LIT ในไตรมาส 2/60 น่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากไตรมาสแรก จากการขาย LIT-W1 รวมเป็นเงิน 400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า LIT จะนำเงินไปใช้ในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และคืนเงินกู้บางส่วน ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income:NII) จะขยายตัวดีขึ้นอีก และทั้งปี 60 คาด LIT จะมีกำไรเติบโตราว 35% มาที่ 146 ล้านบาท
ด้าน NPL ในไตรมาส 1/60 เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อน และคิดเป็น 3.9% ของสินเชื่อรวม โดยเฉพาะสินเชื่อ Project Finance ขณะที่ LIT ตั้งสำรองไม่มากในไตรมาสนี้ ทำให้ Coverage ratio ปรับลดลงเหลือ 73% ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้ LIT ต้องเพิ่มการตั้งสำรองในช่วงที่เหลือของปี เพื่อผลักดัน Coverage ratio ให้สูงขึ้น