นายประเสริฐ สลิลอำไพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บมจ. ปตท.(PTT) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/60 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 46,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,499 ล้านบาท จาก 23,669 ล้านบาทของช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นในเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ
สาเหตุมาจากราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นจากระดับ 30.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 53.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และหนุนให้ราคาขายของผลิตภัณฑ์สูงขึ้น ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นส่งผลให้ ปตท.สามารถจ่ายภาษีได้สูงขึ้น เพื่อให้รัฐนำงบประมาณดังกล่าวไปพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชนต่อไป โดย ปตท. และบริษัทย่อย มีภาษีเงินได้ 6,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,616 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 1 ในปีก่อนหน้านี้
“ผลการดำเนินงานที่เข้มแข็งของกลุ่ม ปตท.นั้นมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้กลุ่ม ปตท.สามารถดำเนินการเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะสร้างความมั่นคงสำหรับประเทศไทยในขณะนี้"
นายประเสริฐ กล่าวว่า กลุ่ม ปตท.ยังคงยึดมั่นดำเนินการตามยุทธศาสตร์ “Do Now (การดำเนินการที่ทำทันที), Decide Now (โอกาสการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่), และ Shape Now (การแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อความยั่งยืน)" ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
ในงวดนี้ ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 89,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.3 จากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และธุรกิจก๊าซธรรมชาติในส่วนของโรงแยกก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากต้นทุนก๊าซฯ ซึ่งอ้างอิงตามราคาน้ำมันเตาย้อนหลังที่ต่ำลง อีกทั้งราคาขายผลิตภัณฑ์ที่อิงกับราคาปิโตรเคมีก็ปรับสูงขึ้น รวมทั้งปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/59
ณ วันที่ 31 มี.ค.60 ปตท. และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 2,229,964 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 1,016,596 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 1,213,368 ล้านบาท