นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กรรมการบริหาร บมจ.อารียา พรอพเพอร์ตี้ (A) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 2-2.5 พันล้านบาท จากไตรมาส 1/60 ที่ทำยอดขายได้ 2.21 พันล้านบาท โดยไตรมาส 2/60 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ได้แก่โครงการเดอะ เพลส กาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ 2, โครงการเดอะ วิลเลจ รังสิต-วงแหวน, โครงการเดอะ คัลเลอร์ส มิกซ์ รังสิต-จงแหวน และโครงการแดอะ คัลเลอร์ส วงแหวน-รามอินทรา 2 ซึ่งการเปิดโครงการในไตรมาส 2/60 ได้เปิดเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 ที่เปิดไป 1 โครงการ มูลค่า 2.5 พันล้านบาท ส่วนแนวโน้มยอดโอนในไตรมาส 2/60 บริษัทตั้งเป้ายอดโอนอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบ 1.2 พันล้านบาท และยอดโอนจากโครงการคอนโดมิเนียม 400 ล้านบาท ซึ่งยอดโอนในไตรมาส 2/60 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 ที่ 1.15 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากโครงการแนวราบที่เปิดใหม่ในไตรมาส 2/60 ที่สามารถเริ่มโอนได้ในทันที และมีโครงการบ้านเดียวระดับบน THE AVA Residence สุขุมวิท 77 ที่บริษัทคาดว่าลูกค้าจะสามารถโอนเพิ่มได้อีก 2 ยูนิต หลังจากที่โอนไปแล้วในไตรมาสแรกจำนวน 2 ยูนิต และเหลืออีก 6 ยูนิตที่อยู่ระหว่างการขาย ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/60 เป็นต้นไปยังคาดว่าภาวะตลาดยังทรงตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกดดันมาจากสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโครงการระดับกลาง-ล่าง เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดการปฏิเสธสินเชื่อ หลังจากที่แนวโน้มสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ ในขณะที่ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ของผู้ซื้อในระดับกลาง-ล่างยังมีอยู่ไนระดับสูง แต่การปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินที่กดดันทำให้กระทบยอดโอนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกราย จะเห็นได้จากยอดโอนไตรมาส 1/60 ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง
โดยอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด โดยเฉพาะลูกค้าระดับกลาง-ล่าง มีผลต่ออัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการของบริษัทในปีนี้ยังคาดว่าทรงตัวอยู่ไนระดับสูงที่ 40% ทำให้บริษัทต้องมีการปรับลดสัดส่วนโครงการในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างในปีนี้ลดลงเป็น 35% จากปีก่อนที่ 40% และหันมาพัฒนาโครงการระดับบนเจาะกลุ่มพรีเมียม ที่มีกำลังซื้อสูง และไม่พึ่งพิงสินเชื่อจากแถลบันการเงินมาก ประกอบกับการขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนและฮ่องกง ที่มีความต้องการซื่อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เนื่องจากราคายังถูก โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายจากลูกค้าต่างชาติไนปีนี้อยู่ที่ 500 ล้านบาท จากปีก่อนที่อยู่ไนระดับหลักสิบล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติที่ทำได้แล้ว 250-300 ล้านบาท "ที่เราเน้นลูกค้าระดับบนในกลุ่มโครงการที่พรีเมียมมากขึ้นก็เป็นไปตามภาพของตลาดที่ตลาดระดับกลาง-ล่างได้รับผลกระทบจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น ทำให้เราต้องลดความเสื่ยงเพื่อทำไห้ไม่กระทบกับยอดโอนของบริษัท และควบคุมไม่ไห้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่ออีก แต่เราก็ไม่อยากจะทิ้งตลาดระดับกลาง-ล่าง เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง และเราอยากให้ลูกค้ากลุ่มนี้มีโอกาสมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ตอนนี้สถาการณ์ไม่เอื่อต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทแบบเดิมที่เน้นกลุ่มระดับกลาง-ล่าง ทำให้เราต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาพตลาด และเราต้องเน้นการทำกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งทำให้ปีนี่เราใช้งบการตลาดสูงถึง 200 ล้านบาท"นายวิวัฒน์ กล่าว ขณะเดียวกันการเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลืออีก 7 โครงการ มูลค่าโครงการราว 1.8 หมื่นล้านบาท จะเป็นโครงการพรีเมียมทั้งหมด โดยจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ในย่านบางนา มูลค่า 2.5 พันล้านบาท และย่านสุขุมวิท ทองหล่อ มูลค่า 1.35 พันล้านบาท อีกทั้งยังมั่นใจว่ยอดขายและรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท และ 6.4 พันล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนงบซื้อที่ดินไนปีนี้ตั้งไว้ 800-1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบ ซึ่งปัจจุบันใช้งบซื้อที่ดินไปเล็กน้อย และไนช่วงปลายไตรมาส 3/60 หรือไตรมาส 4/60 บริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดไหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม มูลค่า 1.5 พันล้านบาท อายุ 3-5 ปี