สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/60 บริษัทคาดว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะสูงกว่าไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้ 1,365.13 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 80.78 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมโอนที่ดินมากกว่า 500 ไร่ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 ที่มียอดโอนที่ดินเพียง 15 ไร่เท่านั้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการที่ภาครัฐเร่งกระตุ้นการลงทุนในโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ขณะเดียวกัน ในไตรมาสนี้ยังจะรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน หลังจากเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมา
นางสาวจรีพร กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 13,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ยังมาจากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม 40% และ โลจิสติกส์ 35% ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจไฟฟ้าภายใต้ บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 70% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตไม่น้อยกว่า 40% โดยจะมีโรงไฟฟ้าอีก 4 แห่งที่เตรียมขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่เดือน พ.ค.-พ.ย. นี้ กำลังการผลิตรวม 128.8 เมกะวัตต์
นางสาวจรีพร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเตรียมรวมกอง WHART และ WHAPF โดยคาดว่ากระบวนการต่างๆจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. จะทำให้ WHART มีขนาดเพิ่มเป็น 23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกอง REIT ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากนั้นในช่วงปลายปีบริษัทเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ของ WHART และ HREIT เพิ่มอีก 140,000 ตารางเมตร มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในช่วงไตรมาส 4/60 มีผลประกอบการที่ดีที่สุดในปีนี้
นอกจากนั้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทเตรียมเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ทั้งในญี่ปุ่น สหรัฐ สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหภาพยุโรป โดยคาดหวังว่าจะมีสัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 25% ตามเป้าหมาย จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% แล้ว