นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับฐานตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เผชิญแรงขายออกมาหลังจากที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินหยวนและสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของจีน ลง 1 ขั้น สู่ระดับ A1 จากระดับ Aa3 เนื่องจากมองถึงปัญหาหนี้ที่สูงขึ้น และความแข็งแกร่งทางการเงินลดลง ซึ่งตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เช้านี้ต่างก็ปรับฐานลงด้วย
พร้อมให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ก็จะไม่มีผลต่อตลาดฯ และให้ติดตามการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออก (โอเปก) และนอกโอเปก ในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.) ซึ่งตลาดคาดจะขยายระยะเวลาในการลดกำลังการผลิตน้ำมันไปอีก 9 เดือนจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า
โดยให้แนวรับ 1,558 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 พ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,937.91 จุด เพิ่มขึ้น 43.08 จุด (+0.21%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,138.71 จุด เพิ่มขึ้น 5.09 จุด (+0.08%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,398.42 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด (+0.18%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 164.28 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 14.38 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 20.89 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 6.31 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.63 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.91 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.29 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 24.03 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 พ.ค.60) 1,564.69 จุด เพิ่มขึ้น 6.96 จุด (+0.45%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,780.80 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 พ.ค.60) ปิดที่ 51.47 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 34 เซนต์ หรือ 0.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 พ.ค.60) ที่ 5.85 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.44 อ่อนค่าจากวานนี้เล็กน้อย รอปัจจัยใหม่ คาดกรอบวันนี้ 34.40-34.50
- โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ใน 3 ประเด็นเพื่อขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้รวดเร็วขึ้น ก่อนที่ พ.ร.บ.พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ภายใน 1-2 วันนี้
- มติบอร์ดการบินไทยไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนนกแอร์ เหตุ 'พาที' ไม่ลาออก และแผนบริหารขาดความชัดเจน ส่งผลให้กลุ่มจุฬางกูรกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1
- รฟม.เปิดรายชื่อเอกชนยื่นข้อเสนอเข้ารับเป็นที่ปรึกษาสายสีชมพู-สายสีเหลือง มี 3 กลุ่ม คาด 2 รายลงนามสัญญาว่าจ้างได้ภายในเดือน มิ.ย.60
- "ทีวีดิจิทัล" จ่ายค่าประมูลงวดที่ 4 กว่า 5 พันล้านบาท ผู้ประกอบการ 17 ช่องยื่นขยายเวลาตาม ม.44 พบ 5 ช่องจ่ายปกติ 6 ปี หวั่นแบกภาระต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่ม เดินหน้าเสริมทัพคอนเทนท์สู้ศึกทีวี มุ่งขยายฐานผู้ชมออนไลน์ หวังชิงเม็ดเงินโฆษณาสื่อดิจิทัลขาขึ้น
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือน เม.ย. 2560 พบว่า ผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวน 55.89 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน หรือผู้ที่พร้อมจะทำงาน 37.89 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีงานทำ 37.09 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.73 แสนคน ผู้รอฤดูกาล 3.24 แสนคน ขณะที่มีผู้อยู่นอกกำลังแรงงาน หรือ ผู้ไม่พร้อมทำงานมี 18 ล้านคน
*หุ้นเด่นวันนี้
- AAV (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 6.80 บาท ปรับกำไรลง 24% ปีนี้ จากการแข่งขันที่รุนแรง กดดันอัตรากำไรลดลง อย่างไรก็ดีมองราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว และตัวเลขผู้โดยสาร low-cost ยังเติบโตแกร่ง 15% y-y ใน 1Q60
- ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16 บาท มองบวกกับการซื้อหุ้น 100% ในพราวด์เรสซิเดนซ์ เพราะช่วยขยายตลาดสู่ระดับบนที่ ORI ยังขาด ปัจจุบันพราวด์เรสซิเดนซ์มี 1 โครงการคอนโดคือ Park 24 มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ขายได้แล้ว 1 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้เป็นรายได้ใน 4Q60 ถึงปี 2563 เมื่อรวมกับ Backlog ของ ORI จึงเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท เป็นผู้ประกอบการในตลาดฯ ที่มี Backlog สูงมาก ขณะที่ Net profit margin ของ Park 24 สูงกว่าโครงการของ ORI ที่ทำได้ 18-19% ปรับประมาณการขึ้น คาดกำไรปีนี้ 1.66 พันล้านบาท +160% Y-Y ชดเชย dilution จากการเพิ่มทุน PP 5.3% ได้ ทำให้ EPS growth เป็น 77% Y-Y และคาดกำไรโตต่อเนื่องในปีหน้า 52% Y-Y
- UNIQ(ไอร่า) เป้า 25.70 บาท ความสามารถในการทำกำไรของ UNIQ ใน 1Q/60 เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ โดยมี Gross Profit Margin เฉลี่ย 18.49% เพิ่มขึ้นจาก 14.72% เมื่อ 4Q/59 หลังไตรมาสที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากต้นทุนงานก่อสร้างที่สูงขึ้น แต่เป็น One Time และเมื่อเทียบกับ 1Q/59 พบว่ากำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 27% อยู่ที่ 212 ล้านบาท ตามรายได้งานก่อสร้าง จำนวน 3,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%yoy พร้อมคาดยังสามารถเติบโตต่อเนื่องในปี 60 ภายใต้ Backlog ล่าสุด คาดอยู่ที่ระดับ 30,000 (หลังหักรายได้ 1Q/60) ซึ่งคาดเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ UNIQ เป็น 1 ใน 4 ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ที่คาดได้รับประโยชน์จากงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ