โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่ และบางรายได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุน หลัง ORI จะเข้าซื้อกิจการบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการระดับลักซัวรี่ PARK 24 เพื่อขยายเข้าสู่ตลาดระดับบน หนุนให้มียอดขายรอโอน (Backlog) สูงขึ้นมาก ผลักดันให้กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงปี 60-62
อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวด้วยเงินลงทุนสูงถึง 4 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากการขายหุ้นเพิ่มทุนราว 1 พันล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 พันล้านบาทนั้น ตลอดจนการรวมเงินกู้ของโครงการของ"พราวด์ เรสซิเดนซ์"เข้ามาจะเป็นลบต่อโครงสร้างเงินทุนตามการก่อหนี้มากขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) เพิ่มขึ้นมาที่ราว 1.7 เท่าในสิ้นปีนี้ แต่เชื่อว่าหนี้ดังกล่าวจะทยอยลดลงในปีหน้าหลังจากการโอนโครงการ PARK 24 เข้ามามากขึ้น
หุ้น ORI ช่วงบ่าย อยู่ที่ 12.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+2.44%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.07%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) กสิกรไทย ซื้อ 15.90 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 15.12 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 16.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 13.60
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ปรับคำแนะนำการลงทุนหุ้น ORI เป็น"ซื้อ"จากเดิม"ถือ"หลังปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 15.90 บาท จาก 12.30 บาท โดยปรับประมาณการกำไรปีนี้เป็นเติบโต 50% และปี 61-62 เติบโต 104% และ 109% ตามลำดับ หลังได้เข้าซื้อกิจการ"พราวด์ เรสซิเดนซ์" ส่งผลให้มี Backlog รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นของ ORI จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท และจากโครงการ PARK 24 ของ"พราวด์ เรสซิเดนซ์"จำนวน 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่โครงการ PARK 24 จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงเดือนส.ค.นี้
นอกจากนี้ ORI ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่น่าสนใจอีก 3 โครงการในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ และจากศักยภาพของ พราวด์ เรสซิเดนซ์ ทำให้บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการระดับบนอีกหลายโครงการในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไปได้อีกหลายปี
"แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงการที่มีทำเลดี กลยุทธ์การดำเนินกิจการน่าจะช่วยส่งเสริมให้ ORI สามารถผ่านวิกฤตไปได้ และเมื่อมองถึงผลประกอบการที่จะเติบโตในปีนี้ถือว่ามีระดับ P/E เพียง 12 เท่า และในปี 61 P/E จะอยู่เพียง 7 เท่า เราจึงได้ปรับคำแนะนำจาก"ถือ"เป็น"ซื้อ""นายประกิต กล่าว
ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น ORI เป็น"ซื้อ"จาก"ถือ"แม้การเข้าซื้อกิจการ"พราวด์ เรสซิเดนซ์"จะเป็นลบต่อโครงสร้างเงินทุน เพราะต้องก่อหนี้มากขึ้น ทั้งจากการชำระค่าหุ้นและการรวมเงินกู้โครงการของ"พราวด์ เรสซิเดนซ์"เข้ามา จนทำให้ IBD/E เพิ่มขึ้นจาก 1.14 เท่า ในช่วงไตรมาส 1/60 เป็นสูงสุดราว 1.7 เท่า ณ สิ้นปีนี้ แต่ก็เชื่อว่าจะทยอยลดลงในปีหน้าหลังจากโอนโครงการ PARK 24 มากขึ้น
อย่างไรก็ดี จะส่งผลบวกอย่างมากต่อกำไรสุทธิ เนื่องจาก ORI ตั้งเป้ายอดโอนของโครงการ PARK 24 ที่ 3 พันล้านบาทในปีนี้ หรือประมาณ 50% ของคาดการณ์รายได้เดิม และตั้งเป้ายอดโอนโครงการ PARK 24 อีก 6 พันล้านบาทในปี 61 หรือประมาณ 75% ของคาดการณ์รายได้เดิม ขณะเดียวกันโครงการดังกล่าวมีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 20% ซึ่งเป็นสิ่งที่ ORI สามารถทำได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่ำกว่ามากเพื่อสะท้อนดีลนี้ ทำให้ปรับประมาณการกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 52% มาที่ 1.7 พันล้านบาท ซึ่งสูงขึ้น 167% จากปีที่แล้ว และปรับประมาณการกำไรปี 61 เพิ่มขึ้น 71% มาที่ 2.4 พันล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 44% จากปี 60
ส่วนธุรกิจของ ORI เดิม ยังคงแผนไว้ตามเดิมว่าจะมีเป้ายอดขายปีนี้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน จากการเปิดโครงการใหม่ 9 โครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเปิดแล้ว 1 โครงการ คือ Notting Hill สุขุมวิท 105 มูลค่า 2.4 พันล้านบาท ขายได้ 23% ขณะที่เตรียมเปิดอีก 4 โครงการ ในช่วงไตรมาส 2/60 เช่น Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ และ Notting Hill Skyscraper เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ และที่ดินส่วนที่เหลือล้วนอยู่ในทำเลดี เช่น พหลโยธิน 24 พระราม 9 และอ่อนนุช เป็นต้น
ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยปรับราคาพื้นฐานใหม่เป็น 15.12 บาท จากเดิมที่ 12.90 บาท ซึ่งหาก ORI ซื้อหุ้น"พราวด์ เรสซิเดนซ์"สำเร็จ และได้นำโครงการ PARK 24 มาจัดทำงบรวม ก็จะมีอัตราการเติบโตกำไรสูงสุดในกลุ่มที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 60-62 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 73% ต่อปี
"ORI เติบโตแบบทางลัด เราเห็นว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดที่ ORI มีการเติบโตแบบภายนอก (inorganic growth) คือเติบโตแบบทางลัด พิจารณาจากยอดขายรอโอน เพิ่มไปเป็น 2.4 หมื่นล้านบาท ติดลำดับ 1 ใน 5 สูงสุดของอุตสาหกรรม มี Know how และ Segment ของสินค้าครอบคลุมไปยังตลาดบน จากเดิมที่เน้นระดับกลาง-กลางล่าง และจับลูกค้าต่างประเทศได้มากขึ้น จากเดิมมีลูกค้าต่างประเทศ 5% แต่ PARK 24 เป็น 25% ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าต่างประเทศที่ทำสัญญาซื้อคอนโดฯแล้ว 5 พันล้านบาท"บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ ทั้งนี้ โครงการ PARK 24 นับเป็นคอนโดมิเนียมที่มีมูลค่าสูงสุดในไทยราว 1.7 หมื่นล้านบาท ที่ดินซึ่งผู้ซื้อสามารถถือกรรมสิทธิที่ดินได้ (Free Hold) ที่เหลือน้อยในซอยสุขวิท 24 ซึ่งมีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มาก และอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม และรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยปัจจุบันโครงการมี Backlog สูงถึง 1.09 หมื่นล้านบาท