นายจิเทนเดอร์ พอล เวอร์มา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) กล่าวว่า บริษัทคาดปีนี้จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ จากปีก่อนขาดทุนสุทธิที่ 418.29 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิแล้วราว 87.22 ล้านบาท จากอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวดีขึ้น และยังมีโอกาสปรับสูงขึ้นได้อีกตั้งแต่ไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป จากปีก่อนมีอัตราอยู่ที่ 5,200 เหรียญ/ลำ/วัน และในไตรมาส 1/60 ปรับขึ้นมาที่ 7,015 เหรียญ/ลำ/วัน
บริษัทมีแผนซื้อเรือเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อปลดระวางเรือที่มีอายุ 20-25 ปี โดยปัจจุบันมีเรือที่มีอายุถึงเกณฑ์ขายออกจำนวน 3 ลำ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ซื้อเรือ Supramax ขนาดเฉลี่ย 54,170 เดทเวทตัน จำนวน 1 ลำ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีกองเรือทั้งสิ้นจำนวน 20 ลำ ซึ่งมั่นใจว่าจากการปรับกองเรือให้ทันสมัยจะสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้
นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจของบมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่าสถานการณ์ในตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังคงผันผวน และอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือลดลง แต่ธุรกิจของกลุ่มเมอร์เมดยังคงทำกำไรสุทธิได้ในไตรมาสแรก และมองโอกาสจะได้รับงานเพิ่มขึ้นอีกในช่วงต่อไป โดยเฉพาะหากภาครัฐเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมทั้งแหล่งบงกชและเอราวัณ
ส่วนธุรกิจของ บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ (PMTA) ได้ขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้นทั้งแอฟริกาและฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันการเช่าพื้นที่โรงงานยังคงอยุ่ในระดับสูง เป็นผลให้อัตราการใช้ประโยชน์ของพื้นที่โรงงานให้เช่าอยู่ในระดับ 100% ด้าน บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินปีนี้ไว้ที่ 2 แสนตัน โดยมองว่าผลการดำเนินงานยังน่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจอาหาร ที่บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด (PHC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้น 70% เข้าทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ในกิจการพิซซ่า ฮัทในประเทศไทย จะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/60 ซึ่งบริษัทเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 100 สาขา ภายใน 4-5 ปีนี้
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังคงมองการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน และธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจำนวนหลายราย คาดว่าในปีนี้น่าจะมีโอกาสเห็นความชัดเจนได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมืออยู่ราว 10,000 ล้านบาทเพียงพอต่อการขยายการลงทุน