นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้จัดการ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาส 1/60 เป็นไปตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการเติมน้ำมันของแต่ละเที่ยวบินอาจจะปรับตัวลดลง หลังจากได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมันอากาศยาน ทำให้สายการบินต่างประเทศบรรทุกน้ำมันเข้ามามากขึ้นเพื่อหวังจะลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเข้าสู่ปกติในเร็ว ๆ นี้ เพราะมองว่าการบรรทุกน้ำมันเข้ามาในปริมาณมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของสายการบินนั้น ๆ เอง เนื่องจากน้ำหนักที่เพิมขึ้นทำให้ต้องใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นตามไปด้วย
บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโต 5% จากปีก่อนทำได้ 3,565 ล้านบาท ตามปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่คาดเติบโตราว 4-5% มาที่ 5,884 ล้านลิตร จากปีก่อนอยู่ที่ 5,657 ล้านลิตร โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่คาดว่าจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 55-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น หลังเปิดอาคารที่พักผู้โดยสาร 2 ของท่าอากาศยานดอนเมือง
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจให้บริการเติมน้ำมันในสนามบินอยู่ที่ 80% และอีก 20% มาจากธุรกิจท่อส่งน้ำมันนอกสนามบิน ที่ดำเนินการโดยบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และคาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจท่อส่งน้ำมัน จะขยับขึ้นเป็น 30% ในปี 62 หากโครงการขยายระบบท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือแล้วเสร็จ และธุรกิจการเติมน้ำมันในสนามบินจะลดลงมาอยู่ที่ 70% ขณะที่ในระยะยาวธุรกิจให้บริการเติมน้ำมันในสนามบินจะลดลงมาอยู่ที่ 60% และ FPT จะอยู่ที่ 40%
นายประกอบเกียรติ กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนทั้งกลุ่มบริษัทปีนี้ไว้ที่ 4,300 ล้านบาท โดยจะใช้ในธุรกิจให้บริการเติมน้ำมันในสนามบินเป็นหลัก ที่เหลือจะเป็นงานต่อเนื่องในโครงการของ FPT ในโครงการขยายท่อส่งน้ำมันภาคเหนือที่พิจิตร-ลำปาง มูลค่า 8,000 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างคลังน้ำมัน เป็นศูนย์กระจายน้ำมัน ได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 19% คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ตามกำหนดปี 62 โดยบริษัทตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) มากกว่า 10%
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจาก บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ในการขยายท่าอากาศยานดอนเมืองเฟส 3 คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้มีการว่าจ้างออกแบบหลุมเจาะแล้ว หากแผนงานของ AOT มีความชัดเจน บริษัทก็มีความพร้อมในด้านเงินทุน จากปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.62 เท่า
ขณะที่ล่าสุด บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท บาฟส์ อินโนเวชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ (BAFS Innovation development Company Limited :BID) เพื่อทำการวิจัยลดต้นทุนและพัฒนานวัตกรรมคิดค้นสินค้าใหม่ๆ โดยล่าสุดได้มีการคิดสินค้าที่เป็นอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย และมีการจำหน่ายให้กับบริษัทในเครือ คาดว่าในปีนี้จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 1-2% ของรายได้รวม