นายสิทธิชัย บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.ทีพีบีไอ (TPBI) กล่าวว่า ความคืบหน้าการศึกษาร่วมกับกับกลุ่ม Myanmar Star Group เพื่อร่วมทุนกันจัดตั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกในประเทศเมียนมา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งบริษัทมีนโยบายเป็นผู้ที่ถือหุ้นใหญ่
ทั้งนี้ หากได้ข้อสรุปของสัดส่วนการถือหุ้นแล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มลงทุนได้ในทันที โดยในระยะแรกจะผลิตเพื่อรองรับการขายผลิตภัณฑ์ในประเทศเมียนมาก่อน เนื่องจากมองมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหลังจากนั้นจะโรงงานดังกล่าวใช้เป็นฐานการผลิตอีกแห่งเพื่อรองรับการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป
นายสิทธิชัย เปิดเผยอีกว่า แนวโน้มยอดขายของบริษัทในไตรมาส 2/60 คาดว่าจะสูงกว่าไตรมาส 1/60 เนื่องจากในไตรมาส 2/60 บริษัทสามารถใช้กำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในไตรมาส 1/60 ประกอบกับความต้องการใช้ถุงพลาสติกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทมีแนวโน้มโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1/60 ที่มียอดขายอยู่ที่ 1.18 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2/60 ทำให้คาดว่าจะยังทรงตัวจากไตรมาส 1/60 ที่ 11.47% เนื่องจากบริษัทยังอยู่ระหว่างการปรับพอร์ตการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกกลุ่ม General Product หันไปเน้นเพิ่มกำลังการผลิตถุงขยะ และไลน์สินค้าใหม่ที่จับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้กำลังการผลิต ประกอบกับ แนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากไตรมาส 1/60 ที่ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน ส่งผลกดดันต่อมาร์จิ้นของบริษัท แต่บริษัทได้มีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้บางส่วนแล้ว ทำให้ไม่กระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมากนัก
บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ในแง่ของยอดขาย เนื่องจากจะเป็นช่วงที่ลูกค้าสั่งออเดอร์ถุงพลาติกและห่อบรรจุภัณฑ์กเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ของทุกปี เพื่อรองรับก่อนการเข้าสู่ช่วงเทศกาลในช่วงปลายปี ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังของทุกๆ ปีจะเห็นว่ามีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทให้สามารถเติบโตขึ้นได้
“ภาพรวมของผลการดำเนินงานในปีนี้ยอดขายมีแนวโน้มเห็นการเติบโตขึ้นได้อยู่ เพราะความต้องการใช้ถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์พลาสติกยังมียังมีอยู่มาก แต่ในแง่ของมาร์จิ้นอาจจะยังถูกกดดันอยู่จากโครงการปรับพอร์ตการผลิตผลิตภัณฑ์ของเราที่เป็นการกระจายความเสี่ยงในผลิตภัณฑ์ General Product เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เน้นการผลิตและขายถุงหิ้ส และเพิ่มสัดส่วนของถุงขยะและถุงที่ใช้ในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ตามเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ในช่วง 1-2 ปีนี้ อาจจะยังเห็นมาร์จิ้นเราชะลอไปบ้าง แต่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ภายในปี 62 หลังการปรับเปลี่ยนแล้วเสร็จในปี 61"นายสิทธิชัย กล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน แบ่งเป็น สัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ General Product 60% สัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ Multilayer Film 10% สัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ Flexible 14% และอื่นๆอีก 16% โดยมีวัดส่วนรายได้จากการส่งออกคิดเป็น 90% และสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 10%
นายสิทธิชัย กล่าวว่า กำลังการผลิตของบริษัทในปัจจุบัน แบ่งเป็น กำลังการผลิต General Product อยู่ที่ 60,000 ตัน/ปี กำลังการผลิต Multilayer Film 6,000-7,000 ตัน/ปี โดยในต้นปี 61 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาอีก 3,000-4,000 ตัน/ปี และกำลังการผลิต Flexible 100 ล้านเมตร/ปี และในต้นปี 61 จะเพิ่มเป็น 150 ล้านเมตร/ปี และเพิ่มเป็น 200 ล้านเมตร/ปี ภายในปี 62
ส่วนการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน บริษัท ไทยเยอรมันรีไซเคิล เทคโนโลยี จำกัด (TGRT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วม เพิ่มเป็น 100% จากเดิมที่ถือหุ้น 40% ซึ่งจะใช้เงินในการเข้าถือหุ้นเพิ่มราว 32 ล้านบาท คาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.นี้ จะช่วยขยายฐานลูกค้า ฐานการผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบรีไซเคิล รวมทั้งเพิ่มความเข้มแข็งทางการเงิน เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และเป็นการรวมกลุ่มทางธุรกิจเพื่อการติบโตอย่างยั่งยืน