บมจ.ไทยออยล์ (TOP) คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในปีนี้ จะสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.4-2.5 หมื่นล้านบาท หลังกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับ 7.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทยังจะรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 2 โรง ขนาดกำลังการผลิตรวม 240 เมกะวัตต์ (MW) ที่เปิดดำเนินการในปีที่แล้วเข้ามาช่วยหนุนผลการดำเนินงานด้วย
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี ของTOP กล่าวว่า EBITDA ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันที่สูงขึ้นในปีนี้ เนื่องจาก GIM ที่ขยับขึ้นมาที่ราว 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าที่คาดประมาณ 0.5-1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายและส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1/60 แม้ว่าปัจจุบันราคาจะลดลงมาบ้างแต่ก็นับว่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้บริษัทยังสามารถรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 240 เมกะวัตต์ได้เต็มปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ 500-600 ล้านบาท/ไตรมาส และยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้ 0.70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลด้วย
สำหรับเงินลงทุนในปีนี้จะอยู่ที่ราว 6 พันล้านบาท เพื่อใช้ขยายท่าเรือ หมายเลข 7 และ 8 รวมถึงก่อสร้างถังจัดเก็บน้ำมันดิบ ก่อสร้างสำนักงานใหม่ที่ศรีราชา โดยแหล่งเงินมาจากกระแสเงินสดของบริษัททั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันมีกระแสเงินสดกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ส่วนแผนการดำเนินโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Clean Fuel Project:CFP) ที่มีเป้าหมายจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบันนั้น จะใช้เงินลงทุนราว 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 61 และแล้วเสร็จในราวปี 63-64