บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) คาดว่าผลประกอบการทั้งปี 60 จะทำสถิติสูงสุดตามการรับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังจะรับรู้กำลังผลิตโซลาร์ฟาร์มและพลังงานลมเต็มที่ 404 เมกะวัตต์ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป ขณะที่บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายการลงทุนธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในประเทศเพื่อนบ้าน ขนาดกำลังผลิตมากกว่า 20 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินในครึ่งปีหลังของปีนี้ทั้งรายได้และกำไรจะสูงกกว่าครึ่งปีแรก เพราะบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้งโซลาร์ฟาร์มและพลังงานลมเพิ่มขึ้นมาเป็น 404 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้เข้ามาเต็มไตรมาสทั้งหมดตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป
ปัจจุบันบริษัทยังมีโครงการพลังงานลมใน จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สงขลา ที่อยู่ระหว่างการรอการ COD อีก 90 เมกกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่ม COD ได้ทั้งหมดภายในอีก 2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ หรือภายในกลางเดือน มิ.ย.60 ซึ่งการ COD โครงการพลังงานลมที่เหลือจะทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีการ COD ครบ 404 เมกะวัตต์ เป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรในปีนี้ให้ทำสถิติสูงสุด (New High)
ส่วนในครึ่งปีหลังบริษัทจะเริ่มเดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานลมในโครงการหนุมาน จ.ชัยภูมิ กำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ มูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งมีกำหนด COD ในช่วงไตรมาส 2/61 และไตมาส 3/61 ส่งผลให้กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทภายในสิ้นปี 61 จะเพิ่มเป็น 664 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทมีการเติบโฌตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนโครงการพลังงานทดแทนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิตมากกว่า 20 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าที่บริษัทมองว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการลงทุนดังกล่าวภายในปีนี้
“การที่เรามองโอกาสเข้าไปลงทุนโครงการพลังงานทดแทนในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะว่าปัจจุบันโครงการในประเทศที่มี PPA ออกมาเริ่มมีผลตอบแทนของการรับซื้อไฟฟ้าที่ลดลง และโครงการที่ออกมาส่วนใหญ่ก็มีขนาดเล็ก 5 MW หรือ 10 MW ซึ่งเป็นขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เรามองว่าไม่ค่อยคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับ EA ซึ่งขนาดที่มองว่าเหมาะสมจะต้องมากกว่า 20 MW ซึ่งมองว่าดอกาสการขยายงานในด้านพลังงานทดแทนในประเทศเพื่อนบ้านยังมีดอกาสมาก ซึ่งเรากำลังศึกษาอยู่ คาดว่าอาจจะปีนี้คงได้ข้อสรุป ซึ่งหากมีความชัดเจนก็จะเป็นโครงการแรกที่เราไปลงทุนในต่างประเทศ"นายอมร กล่าว
สำหรับโครงการลงทุนสร้างโรงงานผลิตอุปรณ์จัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) หรือแบตเตอรี่ ขนาดกำลังการผลิต 50 GWh ซึ่งบริษัทได้มีการเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 35.20% ร่วมกับพันธมิตร ขระนี้อยุ่ระหว่างการเตรียมการในรายละเอียดร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันผลักดันและวางแผนการร่วมลงทุน คาดว่าภายในปลายปี 60 จะเริ่มก่อสร้างโรงงานในเฟสแรก กำลังการผลิตแบตเตอรี่ 1 GWh มูลค่าลงทุนรวม 2 พันล้านบาท จากทั้งโครงการที่มีขนาด 50 GWh มูลค่าลงทุน 1 แสนล้านบาท โดยโรงงานในเฟสแรกจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างราว 1 ปี และจะเริ่มผลิตและขายแบตเตอรี่ก้อนแรกให้กับลูกค้าได้ภายในปี 62
อีกทั้งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการร่วมศึกษาการพัฒนาเทคโรโลยีแบตเตอรี่ร่วมกับทางการไต้หวัน หลังจากที่ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกัน (MOU) เมื่อไม่นานมานี้ โดยจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการต่อยอดเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่จะนำมาผลิตในโรงงานแบตเตอรี่ที่จะก่อสร้างในอนาคต ทั้งนี้หากโครงการผลิตแบตเตอรี่มีผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง บริษัทอาจจะพิจารณาโอกาสในการเข้าถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 35.20%