รวมถึงจะรับรู้รายได้จากการขายพื้นที่เช่าในโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ แฟล็กชิป มิกซ์ ยูส ราว 10,000 ตารางเมตร ให้กับกลุ่มบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งบริษัทได้เก็บค่าเช่าล่วงหน้ามาแล้วจำนวน 1,900 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ และจะส่งมอบพื้นที่ให้กับกลุ่มบุญรอดทันที อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่เหลือของโครงการจะเปิดให้เช่าพื้นที่ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม The Esse at Sukhumvit 36 มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท และเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ สันติบุรี เรสซิเดนซ์ ประดิษฐมนูธรรม มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/60 ทั้งหมด ซึ่งจะรับรู้ยอดขายเข้ามาทันที นอกจากนี้ ยังมีแผนซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 1 แปลงเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในระยะต่อไป
ส่วนในปีหน้าบริษัทคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการรับรู้ยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ The Esse Asoke มูลค่า 4,772 ล้านบาท น่าจะส่งมอบห้องได้ในไตรมาส 4/61 โดยมีการขาย Pre-sale ไปแล้วราว 75% และโครงการ The Esse at Singha Complex มูลค่า 4,160 ล้านบาท คาดจะส่งมอบได้ในปีหน้า หลังจากขาย Pre-sale ไปแล้วราว 80% ขณะเดียวกันก็จะมีการส่งมอบพื้นที่เช่าอาคาร สิงห์ คอมเพล็กซ์ ในช่วงไตรมาส 1/61 เป็นต้นไป
ด้านธุรกิจอาคารพาณิชย์เพื่อเช่า ตึกซันทาวเวอร์ส ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ราว 96% โดยบริษัทก็ปรับขึ้นค่าเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และยังมีรับรู้รายได้จากพื้นที่ให้เช่าเข้ามาในปีนี้เพิ่มขึ้น และยังคงแผนการนำสินทรัพย์ดังกล่าวจัดตั้งเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) คาดว่าจะดำเนินการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ส่วนธุรกิจโรงแรม แบ่งเป็น โรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา (Santiburi Beach Resort & Spa) ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักราว 80% และโรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ต (Phi Phi Island Village Beach Resort) มีอัตราการเข้าพักราว 91% รวมถึงโรงแรมในประเทศอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 29 โรงแรมที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 50% ก็มีอัตราการเข้าพักอยู่ในระดับสูง หรือมากกว่า 60% ก็จะมีการรับรู้เป็นกำไรเข้ามาตามสัดส่วน
พร้อมกันนี้บริษัทก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อธุรกิจโรงแรมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยยังมีความสนใจในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวในประเทศ ได้แก่ ภูเก็ต หัวหิน และพัทยา เป็นต้น ขนาดประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อแห่ง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้
"ปีหน้าน่าจะเป็นปีแรกที่เราจะรับรู้รายได้เข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และจะรับรู้รายได้จากการส่งมอบพื้นที่เช่าอาคารของสิงห์ คอมเพล็กซ์ เข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่โครงการมัลดีฟส์ก็น่าจะแล้วเสร็จได้ตามแผนปีหน้า และน่าจะมีการรับรู้รายได้หลังจากเปิดโครงการได้ทั้งหมด"นายเมธี กล่าว
นายเมธี กล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุนโครงการมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 310 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการ โดยการซื้อพื้นที่บนเกาะมัลดีฟส์จากกลุ่มบุญรอด จำนวน 3 เกาะ จากทั้งหมด 9 เกาะ คาดจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ราว 80 ล้านเหรียญสหรัฐ และน่าจะดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 3/60
หลังจากนั้นจะดำเนินการพัฒนาก่อสร้างทันที ซึ่งเกาะที่ 1 และเกาะที่ 2 มีกำหนดเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือนก.ค.61 และเกาะที่ 3 จะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนก.ค.63 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในเกาะที่ 1 และ 2 เข้ามาได้ในปี 62 เป็นต้นไป
สำหรับแหล่งเงินลงทุนโครงการดังกล่าว จะมาจากการเงินกู้โครงการ (Project Finance) ซึ่งจะกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ และขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) โดยคาดว่าจะดำเนินการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ในช่วงไตรมาส 3/60 ขณะที่การออกหุ้นเพิ่มทุนให้ PP ปัจจุบันยังคงอยู่ระหว่างเจรจากับนักลงทุนสถาบันเพื่อเสนอขายหุ้นดังกล่าว