นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการ 98 Wireless มูลค่า 8.5 พันล้านบาทได้ภายในต้นปี 61 โดยปัจจุบันมีจำนวนยูนิตเหลือขายในสัดส่วน 40% หรือคิดเป็นจำนวน 30 ยูนิต มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท
ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขายโครงการดังกล่าวไปแล้ว 47 ยูนิต จากทั้งหมด 77 ยูนิต ซึ่งมีลูกค้าชาวต่างชาติทั้งชาวฮ่องกงและญี่ปุ่นเข้ามาซื้อโครงการวจำนวน 3 ยูนิต อีกทั้งในเร็วๆนี้คาดว่าจะมีลูกค้าชาวจีนที่มีความสนใจซื้อห้องพักในโครงการ 98 Wireless เข้ามาเพิ่มเติม
โครงการ 98 Wireless ถือเป็นหนึ่งโครงการที่สำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายและยอดรับรู้รายได้ของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั่งชาวไทยและต่างชาติเข้ามาอย่างดี เนื่องจากตัวโครงการมีจุดเด่นในแง่ของทำเลที่ตั้งอยู่ในย่าน CBD ของกรุงเทพ การเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ประกอบกับราคาขายของโครงการที่เฉลี่ย 666,666 บาท/ตารางเมตร และเป็นที่ดินที่ผู้ซื้อสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ได้ (Freehold) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับโครงการระดับลักชัวรี่อื่นๆ ในภูมิภาค
“เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่สำคัญต่อการเลือกซื้ออสังหาฯของกลุ่มผู้ซื้อในตลาดต่างชาติ ประเทศไทย ถือว่ามีความพร้อมอย่างรอบด้านเมื่อเทียบกับประเทศที่มีความโดดเด่นในด้านอสังหาฯในประเทศต่างๆ ทั้งในแง่ทำเล ทั้งที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน ความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม สำหรับทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อีกทั้ชยังมีโครงการเปิดขายในตลาดมากกว่าประเทศอื่น และที่สำคัญคือ กฏหมายของไทยที่เอื้อต่อชาวต่างชาติในการซื้อขายและถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาในภูมิภาคอาเซียน กรุงเทพฯนับว่าเป็นเมืองที่มีทั้งดีมานด์และซัพพลายด์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มากกว่าเมืองสำคัญอื่นๆ ทั้งหมด"นายอุทัย กล่าว
ส่วนภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้ยังมองว่าสามารถเติบโตได้ 4-5% หรือคิดเป็นการเติบโต 1.5 เท่าของอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3% ในปี 60 โดยการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะมาจากการขยายโครงการคมนาคม โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าที่การขยายโครงการรถไฟฟ้าในพื้นที่ต่างๆเพิ่มขึ้น อีกทั้งแนวโน้มของกำลังซื้อและความมั่นใจคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้น หลังจากภาคเกษตรและการส่งออกของไทยฟื้นตัว และภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวอย่างต่อเนี่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนกำลังซื้อที่ค่อยๆกลับมาฟื้นตัวขึ้น
ขณะที่แนวโน้มของหนี้สินครัวเรือนเริ่มลดลง หลังจากที่ผู้กู้ซื้อรถยนต์คันแรกเริ่มทยอยครบกำหนดตามเงื่อนไขโครงการ ประกอบกับการกระตุ้นกำลังซื้อด้วยการทำโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารพาณิชย์ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งในส่วนของบริษัทได้ร่วมทำแคมเปญอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.99% นาน 3 ปี กับธนาคารกรุงเทพ เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และเป็นการช่วยระบายสต็อกที่เหลืออยู่ให้ลดลง
นอกจากนี้บริษัทยังคงขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการขยายฐานกลุ่มลูกค้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังจากเข้าไปเปิดตลาดในประเทศอังกฤษมาก่อนหน้านี้ ขณะนี้บริษัทมีการขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติในฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไต้หวัน เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก และมั่นใจว่ายอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 7.5 พันล้านบาท โดยในไตรมาส 1/60 สามารถทำยอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติไปแล้ว 1.7 พันล้านบาท
บริษัทยังมั่นใจเป้าหมายของธุรกิจคอนโดมิเนียมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยมียอดรับรู้รายได้คอนโดมิเนียม 1.3 หมื่นล้านบาท และยอดขายคอนโดมิเนียม 2.1 หมื่นล้านบาท ส่วนแผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ยังเป็นไปตามแผนเดิมที่จะเปิดตัวจำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ 6 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 2 โครงการ