"กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์"ยืนไฟลิ่งขาย IPO 533.30 ล้านหุ้น เข้า SET ใช้คืนเงินกู้-รองรับพัฒนาโรงไฟฟ้า IPP

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 2, 2017 11:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัทกรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2560 เพื่อเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) จำนวนไม่เกิน 533.30 ล้านหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ อาจกันหุ้นบางส่วนจากจำนวนดังกล่าวมาจัดสรรเพื่อเสนอขายต่อผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investor) และบริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์, บล.กสิกรไทย, บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนและเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อย และบริษัทร่วมของบริษัทฯ และบริษัทอื่น รวมถึงการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯในอนาคต และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืม รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ และเพื่อวัตถุประสค์อื่น ๆ ของกลุ่มบริษัทฯ

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำเย็น และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP) ที่สุดของประเทศไทย ทั้งนี้ เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาทั้งหมดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2567 รวมกับโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง (Installed Capacity) รวมทั้งสิ้น 11,396.2 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบริษัทฯ (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560) ทั้งสิ้น 5,460.2 เมกะวัตต์

โดยบริษัทฯ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นเจ้าของและดำเนินการโดยผ่านบริษัทย่อยและบริษัทร่วมดังต่อไปนี้

1. โครงการ IPP ก๊าซธรรมชาติ 2 โครงการ และโครงการ SPP 7 โครงการภายใต้ GJP ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 40.00

2. โครงการผลิตไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก (SPP) ก๊าซธรรมชาติ 12 โครงการภายใต้ GMP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 70.00

3. โครงการ IPP ก๊าซธรรมชาติ 2 โครงการภายใต้ IPD ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 51.00

4. โครงการผลิตไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็กมาก (VSPP) พลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) 4 โครงการภายใต้ Gulf Solar ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 74.99

5. โครงการ SPP ชีวมวล 1 โครงการของ CGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 100.00

ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วของกลุ่มบริษัทฯ จำนวน 10 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย (ก) โครงการ IPP ก๊าซธรรมชาติ 2 โครงการ และโครงการ SPP ก๊าซธรรมชาติ 7 โครงการภายใต้ GJP และ (ข) โครงการ SPP ก๊าซธรรมชาติ 1 โครงการภายใต้ GMP (ซึ่งได้แก่ GVTP) โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งสิ้น 4,373.6 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบริษัทฯ 1,754.3 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบริษัทฯ สำหรับโครงการ IPP ก๊าซธรรมชาติ 1,362.2 เมกะวัตต์ และโครงการ SPP ก๊าซธรรมชาติ 392.0 เมกะวัตต์

บริษัทฯ ยังถือหุ้นจำนวนร้อยละ 100.00 ใน Gulf HK โดย Gulf HK ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 9.09 ในบมจ.เอสพีซีจี (SPCG) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และถือหุ้นจำนวนร้อยละ 0.46 ใน EDL-GEN ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในประเทศลาว นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ในขั้นตอนพัฒนาธุรกิจจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ผ่าน Gulf WHA MT ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 49.00 โดยมีบมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (Hemaraj) ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 51.00 ทั้งนี้ Gulf WHA MT ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 100.00 ในบริษัทย่อยอีก 2 บริษัทคือ WHA NGD2 และ WHA NGD4

โครงการในอนาคต ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งเป็นโครงการ SPP ก๊าซธรรมชาติ จำนวน 11 โครงการ ภายใต้ GMP และโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ IPP ก๊าซธรรมชาติ 2 โครงการ ภายใต้ IPD ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวทั้งหมดได้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบมจ.ปตท. (PTT) แล้ว ทั้งนี้ คาดว่าโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งให้กับกลุ่มบริษัทอีก 6,997 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากโครงการ IPP 2 โครงการ ภายใต้ IPD จำนวน 5,570 เมกะวัตต์ และโครงการ SPP จำนวน 11 โครงการ ภายใต้ GMP จำนวน 1,427 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของ 3,680.5 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ยังมีโครงการ SPP ขีวมวลของ CGC ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 1 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งอีก 25 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของของริษัทจำนวน 25 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจในการขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ในอนาคต รวมถึงการขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน

อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนต่าง ๆ ของกลุ่มบริษัทฯ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้มทางกฎหมายในประเทศ การเปลี่ยนแปลงในแผนธุรกิจและกลยุทธ์ของบริษัทฯ และการที่บริษัทฯ ตัดสินใจที่จะดำเนินการตามเอกสารในการลงทุนใหม่ โครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาของกลุ่มบริษัทฯ มีดังต่อไปนี้

โครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ โครงการ SPP ภายใต้ GMP จำนวน 11 โครงการ กล่าวคือ GTS1 GTS2 GTS3 GTS4 GNC GBL GBP GNLL2 GNPM GNRV1 และ GNRV2

โครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างพัฒนา ได้แก่ (ก) โครงการ IPP ภายใต้ IPD จำนวน 2 โครงการ กล่าวคือ GSRC และ GPD ซึ่งมีวันกำหนดเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ในช่วงปี 2564 ถึง 2567 และ (ข) โครงการ SPP ชีวมวลของ CGC จำนวน 1 โครงการ ซึ่งคาดว่าสามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ในปี 2560 โดยในปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้า GSRC และ CGC อยู่ระหว่างการเจรจาทำสัญญาจ้างเหมาเบ็ดเสร็จสำหรับการพัฒนาและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า และโครงการโรงไฟฟ้า GPD อยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อเริ่มเจรจากับคู่สัญญา

โครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาของกลุ่มบริษัทฯ จะได้รับผลตอบแทนจากการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าภายใต้ข้อกำหนดของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ โครงการ SPP ภายใต้ GMP ซึ่งผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมจะได้รับค่าตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญากับลูกค้าอุตสาหกรรมแต่ละราย

ผลดำเนินงานของบริษัท ณ วันที่ 31 มี.ค.60 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 67,551.43 ล้านบาท หนี้สินรวม 61,919.53 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 5,631.89 ล้านบาท และมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้เป็นเจ้าของของบริษัทใหญ่ ที่ระดับ 1,107.41 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 10,666,500,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 2,133,300,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท และมีทุนชำระแล้ว 3,100,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 620,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมดในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วทั้งสิ้นไม่เกิน 10,666,500,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,133,300,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท

ทั้งนี้ ก่อนการขายหุ้น IPO บริษัทจะเพิ่มทุนโดยออกหุ้นใหม่ไม่เกิน 980 ล้านหุ้น ขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสิทธิ หลังจากนั้นจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 533.30 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขาย IPO ต่อไป

ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 พ.ค.2560 คือ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ถือหุ้น 619,999,994 หุ้น คิดเป็น 100% ,บริษัท กัลฟ์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 2 หุ้น , Gulf Investment and Trading Pte. Ltd. ถือ 2 หุ้น และ Gulf Capital Holdings Limited ถือ 2 หุ้น ภายหลังการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม นายสารัชถ์ จะลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 51.25% ,บริษัท กัลฟ์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 6.25% ขณะที่ Gulf Investment and Trading Pte. Ltd. และ Gulf Capital Holdings Limited ถือหุ้นฝ่ายละ 21.25%

หลังเสนอขายหุ้น IPO แล้ว นายสารัชถ์ จะลดการถือหุ้นลงเหลือ 38.44% ,บริษัท กัลฟ์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 4.69% ขณะที่ Gulf Investment and Trading Pte. Ltd. และ Gulf Capital Holdings Limited ถือหุ้นฝ่ายละ 15.94%

นโยบายจ่ายเงินปันผลกำหนดให้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษี ทุนสำรองตามที่กฎหมายกำหนด และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ