ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร SAWAD ที่ BBB เปลี่ยนแนวโน้มเป็น Stable จาก Developing

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 5, 2017 17:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 (SAWAD) ที่ระดับ “BBB" พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Developing" หรือ “ไม่ชัดเจน" โดยการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเห็นของทริสเรทติ้งว่าการซื้อกิจการของ บริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) และการโอนธุรกิจหลักของบริษัทให้แก่บริษัทย่อยที่เพิ่งจัดตั้งมาใหม่ซึ่งก็คือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ในเดือนมิถุนายนนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัท โดยภายหลังการโอนธุรกิจดังกล่าว บริษัทจะได้รับรายได้เงินปันผลที่สม่ำเสมอจากบริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014

อันดับเครดิตสะท้อนถึงประวัติอันยาวนานของบริษัทในการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันและคณะผู้บริหารซึ่งมากด้วยประสบการณ์ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าประทับใจ ตลอดจนระดับฐานทุนที่เพียงพอ และช่องทางการให้สินเชื่อที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดโดยสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ภาวะหนี้ครัวเรือนในประเทศที่อยู่ในระดับสูง และการที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

บริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 ก่อตั้งในปี 2551 โดยครอบครัวตระกูลแก้วบุตตาซึ่งมีประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันนับตั้งแต่ปี 2522 โดยบริษัทให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีหลักประกันเป็นยานพาหนะประเภทต่าง ๆ (เช่น รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถยนต์ รถบรรทุก ฯลฯ) รวมถึงที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ในปี 2557 บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือครอบครัวตระกูลแก้วบุตตาซึ่งถือหุ้นประมาณ 52% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

ตามแผนการปรับโครงสร้างที่บริษัทได้ออกประกาศไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จะรับโอนสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันคงค้างจากบริษัทและจะปล่อยสินเชื่อประเภทดังกล่าวให้แก่ลูกค้าใหม่ ในขณะที่ บง. กรุงเทพธนาทร ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 36.5% และเป็นบริษัทเงินทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมุ่งเน้นธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 บริษัทให้บริการสินเชื่อผ่านสาขาจำนวน 2,188 แห่ง โดยมูลค่าสินเชื่อคงค้างเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 5,722 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 17,469 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 45% มูลค่าสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 23,086 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 หรือเติบโตขึ้น 32.1% จากสิ้นปี 2559

ทั้งนี้ บริษัทได้รวมสินเชื่อของ บง. กรุงเทพธนาทร มูลค่า 3,357 ล้านบาทเข้าไว้ในงบการเงินในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 สินเชื่อคงค้างของบริษัทประกอบด้วยสินเชื่อที่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะเป็นหลักประกันในสัดส่วน 42.9% สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นหลักประกัน 17.1% สินเชื่อที่มีรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลักประกัน 10.3% สินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน 20.7% สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกัน 5.2% สินเชื่อที่มียานพาหนะอื่น ๆ เป็นหลักประกัน 2.6% และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ 1.2% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด บริษัทได้หยุดธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ในปี 2558

คุณภาพสินเชื่อของบริษัทปรับตัวดีขึ้นระหว่างปี 2558 และปี 2559 แม้ว่าจะยังต่ำกว่าคู่แข่ง โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทเท่ากับ 3.6% ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทคู่แข่งอยู่ 2% ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ระดับประมาณ 60% ซึ่งยังต่ำกว่าของบริษัทคู่แข่งอยู่มาก ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 หลังจากบริษัทได้รวมผลประกอบการของ บง. กรุงเทพธนาทรไว้ในงบการเงินแล้ว อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทก็ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4% ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันโดยอยู่ที่ระดับ 100.8%

บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับความเสี่ยงสูงและค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางลบของภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น บริษัทจึงมีนโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและมีเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่ระมัดระวังโดยกำหนดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันไว้ในระดับต่ำ ตลอดจนมีกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เหมาะสม

ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 26 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 1,336 ล้านบาทในปี 2558 และเติบโตอีก 50.3% มาอยู่ที่ระดับ 2,009 ล้านบาทในปี 2559 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2554 เป็น 11.2% ในปี 2559 รายได้สุทธิในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 เท่ากับ 696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเท่ากับ 11% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

ฐานทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการขยายสินเชื่อในช่วงระยะเวลาอันใกล้และรองรับความเสี่ยงในช่วงธุรกิจขาลง อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 40% ในปี 2557 เป็น 30.8% ณ สิ้นปี 2559 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 31.2% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 จากผลกำไรที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.2 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและมีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วยเช่นกัน

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและคงความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าพอใจในขณะเดียวกันก็สามารถดำรงคุณภาพสินทรัพย์ในระดับสูงเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ