นายวีรพัฒน์ เพชร์คุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบมจ.เจ้าพระยามหานคร (CMC) ร่วมกับบล.เออีซี (AEC) และบล.โกลเบล็ก มูลค่าการเสนอขาย 500 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 6.5% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ซึ่งจะจัดจำหน่ายเฉพาะเจาะจงให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 13 – 15 มิถุนายน 2560 นี้
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ของ CMC เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิม และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและเพื่อใช้ในการขยายกิจการลงทุนในโครงการต่างๆ
ทั้งนี้ บมจ.เจ้าพระยามหานคร ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2537 โดยประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัท สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ 1) โครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม โดยจะเป็นโครงการระดับราคาประมาณ 1.5 - 4.5 ล้านบาท เน้นทำเลที่ตั้งโครงการตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทได้พัฒนาโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยแล้วทั้งหมด 39 โครงการ ภายใต้ชื่อโครงการ 3 แบรนด์ ได้แก่ “แบงค์คอก ฮอไรซอน" โครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารสูงเกิน 8 ชั้นขึ้นไป “แบงค์คอก เฟ’ลิซ" และ “ชาโตว์ อินทาวน์" เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low rise ส่วนใหญ่เป็นอาคาร 8 ชั้น โดยแต่ละแบบจะแบ่งตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบโครงการ
2) โครงการประเภทแนวราบ ได้แก่ โครงการหมู่บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม ซึ่งบริษัทได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบแล้วทั้งหมด 4 โครงการ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 1 โครงการ คือ แบรนด์ “เดอะริช" และเป็นโครงการทาวเฮ้าส์/ทาวน์โฮมจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ แบรนด์ “คาซ่า ยูเรก้า" และ แบรนด์ “ค่าซ่า ดีว่า" นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทปี 2559 บริษัทมีรายได้รวม 2,090.75 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 47.31% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,419.30 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากในปี 2559 บริษัทมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย 5 โครงการ ที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนกรรมสิทธิ์เพื่อรับรู้รายได้ รวมทั้งได้รับผลดีจากมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล และในไตรมาส 1 ปี 2560 มีรายได้รวม 468.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิปี 2559 เท่ากับ 156.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231.44% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 47.13 ล้านบาท และล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 32.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.62 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการพร้อมอยู่ 21 โครงการ และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 3 โครงการ ซึ่งโครงการของบริษัทมีความหลากหลาย ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และ อาคารชุดพักอาศัย ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการและรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมในหลายระดับ มีการออกแบบ โดยสถาปนิกชั้นนำที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับในวงธุรกิจ และกลุ่มบริษัทมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งทำให้กลุ่มบริษัทมีความเข้าใจในธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี