นางทรงศรี ศรีรุ่งเรืองจิต กรรมการผู้จัดการ บมจ.วินท์คอม เทคโนโลยี ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ออราเคิล และ ผู้นำการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้นบริษัทจะสามารถยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างเร็วสุด คาดว่าไตรมาส 3/60 นี้ โดยมี บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยบริษัทจะนำเม็ดเงินระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา หรือ CLM หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า Palo Alto Networks อย่างเป็นทางการ และตั้งเป้ายอดขายจากกลุ่มประเทศดังกล่าวทั้งปีประมาณ 270 ล้านบาท
ขณะที่ล่าสุดบริษัท วินท์คอม เทคโนโลยี (เมียนม่า) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ชนะการประมูลงานของ KBZ BANK ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง (Private Commercial Bank) ของเมียนมา เป็นผู้ดำเนินการในโครงการ “Core Banking and Internet Banking System Hardware and Software Upgrade and Migration" ซึ่งมีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท
ทั้งนี้การประมูลงานดังกล่าวบริษัทได้นำเสนอ Product ของ Oracle ทั้ง Suite ซึ่งได้แก่ Hardware , Software, Cloud Solution รวมถึงการอบรมผู้ใช้งาน SuperCluster Zero Data Loss Recovery Appliance และ Web Logic เป็นต้น โดยลักษณะของโครงการคือ การโอนย้ายระบบ Core banking และ Internet banking มาสู่ระบบใหม่ที่ล้ำสมัย และมีประสิทธิภาพ การประมวลผลที่ทรงพลังเพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ตามการเจริญเติบโตและรองรับการขยายตัวของธนาคารไม่น้อยกว่า 3 ปีข้างหน้า ทั้งศูนย์คอมพิวเตอร์หลัก (DC) และศูนย์สำรอง (DR) ของธนาคารเอง
“การประมูลงานในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท วินท์คอม เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ที่มีการขยายฐานไปประเทศ CLM ตั้งแต่ปลายปี 2559 โครงการนี้ถือเป็นการประกาศศักยภาพในการเติบโตของ บริษัทในต่างประเทศ และจะมีแผนเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย"นางทรงศรี กล่าว
นางทรงศรี กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะมีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยตั้งเป้ารายได้ทั้งปีแตะระดับ 2,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนรายได้ 65% มาจากรายได้การดำเนินธุรกิจตัวแทนการจำหน่าย และอีก 35% จะมาจากการให้บริการหลังการขายด้านไอซีทีแบบครบวงจร