นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล (CIO Office) บล. ภัทร บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดโมเดลใหม่ซึ่งเรียกบริการนี้ว่า Global Investment Service (GIS) เป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจไพรเวทเวลธ์สำหรับผู้ลงทุนไทย เพื่อเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนในการลงทุนต่างประเทศ โดยเปิดความกว้างของโอกาสที่มีหลายประเภท และความลึกของโอกาสที่สามารถลงทุนได้หลากหลายกลุ่มธุรกิจ เพิ่มขนาดโอกาสการลงทุน และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงซึ่งจะลดความผันผวนเงินลงทุนได้ และเพิ่มการลงทุนผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลาย
จากการลงทุนภายใต้ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และสภาวะเศรษฐกิจรวมถึงตลาดการเงินที่ผันผวน ส่งผลให้ผู้ลงทุนเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการสินทรัพย์ การจัดสรรเงินลงทุน ไม่ว่าจะในมุมมองของประเภทสินทรัพย์ หรือรูปแบบผลิตภัณฑ์จึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีการลงทุนเพียงในประเทศที่มีทางเลือกที่จำกัดทั้งในส่วนของความหลากหลายของธุรกิจและประเภทของผลิตภัณฑ์ทางการเงินอาจไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
จากสถิติพบว่าตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) เพียงแค่ 0.6% เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนไทยยังมีโอกาสในการลงทุน โอกาสในการกระจายความเสี่ยง และโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ที่มีหลากหลายทั่วโลกได้อีกมาก ประกอบกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในต่างประเทศจึงเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนไทยสามารถนำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"เราออกบริการนี้เพื่อเปิดโอกาสการลงทุน โดยตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นมาประมาณ 10% ตั้งแต่ต้นปีมา แต่ไม่ได้บอกว่าหุ้นไทยแย่กว่าข้างนอก แต่เปิดโอกาสการกระจายความเสี่ยง การเติบโตของเศรษฐกิจไทยค่อยๆน้อยลง ปีนี้โต 3% ต้นๆ น้อยกว่าค่าเฉลี่ย GDP ของโลกที่คาดไว้เติบโต 3.5% และปีหน้าโต 3.6% โดอากาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยไม่ดีกว่าข้างนอก"นายพิพัฒน์ กล่าว
นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บล.ภัทร กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมในการนำเสนอบริการ GIS ที่เป็นการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนและมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครอบคลุมโอกาสการลงทุนในต่างประเทศทั่วโลกโดยเปิดบัญชีเดียว ทั้งนี้ บล.ภัทร ได้คัดเลือกสถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือการพาลูกค้าไปเปิดบัญชีการลงทุนต่างประเทศ โดยได้เริ่มความร่วมมือดังกล่าวกับเครดิตสวิสประเทศสิงคโปร์เป็นแห่งแรก ซึ่งภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว บล.ภัทร สามารถให้บริการแก่ผู้ลงทุนแบบ “เบ็ดเสร็จ"โดยสามารถลงทุนได้ในทุกผลิตภัณฑ์การเงินภายในบัญชีที่ต่างประเทศบัญชีเดียว ทั้งนี้ลักษณะบัญชีดังกล่าวจะมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำตามนโยบายของแต่ละสถาบันการเงินโดยในส่วนของเครดิตสวิสจะกำหนดจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ
บล.ภัทรยังมีบริการลงทุนต่างประเทศอีกรูปแบบที่เน้นความคล่องตัวและต้นทุนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ รวมถึงกองทุนและหุ้นกู้อนุพันธ์จากบริษัทจัดการกองทุนและธนาคารชั้นนำของโลกโดยไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุน
ขณะที่การให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนสำหรับการลงทุนในต่างประเทศที่ทางเลือกและรูปแบบผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย และซับซ้อนกว่าทางเลือกในประเทศนั้น เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำการลงทุนแก่ผู้ลงทุนจะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนนี้ผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน (Financial Consultant)ของบล.ภัทร ซึ่งรู้จักและทราบความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน ตั้งแต่ให้คำปรึกษาการจัดพอร์ตลงทุน การนำเงินออกนอกประเทศ และ การทำรายงานรายเดือนส่งธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ผู้ลงทุนมีความสะดวกสบาย สามารถเห็นภาพรวมพอร์ตการลงทุนของตนเองทั้งในและต่างประเทศจากรายงานการลงทุนรวม(consolidated report) ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าเงินลงทุนและทรัพย์สินทั้งหมดจะได้รับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
นายณฤทธิ์ กล่าวว่า จากที่ได้นำเสนอใหับลูกค้าบล.ภัทรเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้ตอบรับกับบริการ GIS โดยคาดว่าเป้าหมายปีนี้จะมีลูกค้าของ บล.ภัทรมาใช้บริการ GIS ราว 60-70 ราย เฉลี่ย 3-4 ล้านเหรียญสหรัฐ/ราย หรือรวมกันประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐที่จะเปิดบัญขีกับเครดิตสวิส และมองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าฐานลูกค้าจะขยายตัวและคาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset Under Advice: AuA)เติบโต 20-30%จากปัจจุบันมี AuA อยู่ที่ 398,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (High Ner Worth) หรือมีเงินลงทุน 30 ล้านบาทขขึ้นไป มีอยู่ 3.6 แสนล้านบาทซึ่งมีจำนวนประมมณ 2-3 พันราย
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บล.ภัทร กล่าวว่า ในช่วงนี้หุ้นไทยแกว่งตัวช่วงแคบ เป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนเปิดโอกาสหาผลตอบแทนในการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น และกระจายความเสี่ยงการลงทุน แต่จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยช้าลง โดยพิจารณาจากการการลงทุนและราคาในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ทั้งในเอเชีย ยุโรป และละตินอเมริกาเติบโตมาก โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดEmerging Market ให้ลตอบแทนมากกว่า10% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปโต 7-8% ตลาดหุ้นสหรัฐก็ยังเติบโตกว่า 10% ส่วนตลาดหุ้นไทยเติบโตเพียง 1-2%
นายพิพัฒน์ ยังกล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติตดาม ได้แก่สถานการณ์ตะวันออกกลางที่กลุ่มซาอุดิอาระเบียตัดขาดความสัมพ้นธ์ทางการฑูตกับประเทศกาตาร์ ซึ่งยังไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือใช้อาวุธ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกาตาร์ และมีโอกาสกระทบต่อประเทศในเอเชีย เพราะกาตาร์เป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ ซึ่งมี จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นลูกค้าหลัก แต่คาดว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ส่วนการสานความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกาตาร์กับซาอุดิอาระเบียเคยใช้เวลานาน 1 ปี โดยยังต้องจับตาสถานการณ์ต่อไป
นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในเดือนมิ.ย.นี้ เป็นปัจจัยต่อ Fund Flow ซึ่งขณะนี้ เม็ดเงินไหลเข้าไทย แต่ไปที่ตลาดพันธบัตรไทยมากขึ้น เพราะต่างชาติมองไทยเป็นแหล่งปลอดภัย เนื่องจากไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง อัตราเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าค่าเงินในภูมิภาคเดียวกัน
"ไอเอ็มเอฟได้เตือนไทยอาจจะติดกับดัก low growth low Inflation โดยไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะมี Saving ในประเทศสูงกว่าการลงทุน ให้จับตาดู private investment และ เงินเฟ้อ โดย Core Inflation ต่ำสุดในรอบ 83 เดือน และเศรษฐกิจโตช้าๆ ปัจจัยที่ต้องดูว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ก็จะช่วยเงินบาทอ่อนค่าได้" นายพิพัฒน์ กล่าว