นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในขณะนี้ว่า บริษัทได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคอื่นโดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 20.91% สูงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ให้ผลตอบแทนระดับ 10.55% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 2560)
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียน่าสนใจ มาจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจโลกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีชี้นำเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อภาคการค้าโลกในระยะถัดไป รวมถึงสนับสนุนเงินทุนเคลื่อนย้ายมาลงทุนยังสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ ตลาดหุ้น โดยเศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่อง ซึ่งทาง IMFคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียระหว่างปี 2560 - 2561 สูงถึง 6.4% นำโดยจีน และอินเดีย เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 2%
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบระดับดัชนีตลาดหุ้นเอเชียในปัจจุบันยังถือว่ายังซื้อขายในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว และคาดการณ์การขยายตัวของกำไรบริษัทที่สูงกว่าจึงคาดว่าตลาดหุ้นเอเชียจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดพัฒนาแล้วด้วยเช่นกัน โดยตลาดหุ้นเอเชียยังคงซื้อขายที่ระดับ PE ratio ประมาณ 13.6 เท่า ขณะที่ตลาดของประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ 17.4 เท่า โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นเอเชียจะมีผลประกอบการขยายตัวในปี 2560 ประมาณ 17.8% และประเทศพัฒนาแล้วประมาณ 11.9%
ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนที่เหมาะกับการลงทุนในสถานการณ์ดังกล่าว คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ เอเชียนอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ฟันด์ (SCBAEM) มีผลดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องโดยข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2560 มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 17.09% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 15.04% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 8.25% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 7.65% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 15.70% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 13.03% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 32.09% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 20.03% (ที่มา : Bloomberg)
กองทุน SCBAEM มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ BGF Asian Growth Leaders Fund ในหน่วยลงทุนชนิด (Class) “D2" ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศลักเซมเบิร์ก บริหารงานโดย “BlackRock Global Funds" เฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน BGF Asian Growth Leaders Fund มีนโยบายลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียน หรือทำธุรกิจในทวีปเอเชีย ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น มีการลงทุนรายประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง และอินเดีย มีสัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก คือ เทคโนโลยี, ธุรกิจการเงิน, สินค้าอุปโภคบริโภค, สินค้าอุตสาหกรรม และพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเอเชียก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และภาวะเศรษฐกิจการชะลอตัวของประเทศจีน หากพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ค่าเงินเอเชียกลับปรับตัวแข็งค่า และยังคงมีเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุนต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ และความมีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับนักลงทุนของธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้จากปัจจัยพื้นฐานที่ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียเกินดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างมากทำให้มีความเสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ขณะที่แนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นจะส่งผลบวกต่อกำไรบริษัทในประเทศจีน และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจีนจะคงใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในช่วงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศของจีนหลายตำแหน่งในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้