นายปรีชา เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม (TKT) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะพลิกมีกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 67.54 ล้านบาท แม้ว่าในไตรมาสแรกจะยังขาดทุนและคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะยังไม่ดีนัก เนื่องจากวันหยุดค่อนข้างมาก และยอดการผลิตรถยนต์ก็ยังไม่มาก ขณะที่บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 50% แต่คาดว่าครึ่งหลังของปีนี้ผลประกอบการจะเติบโตขึ้น จากการใช้อัตราการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นมาที่ 60% ซึ่งเข้าสู่จุดคุ้มทุน หลังค่ายรถยนต์ออกรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ และคำสั่งซื้อจากรถยนต์รุ่นแดิม ๆ ที่เข้ามามากขึ้น
นอกจากนี้การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ก็ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 15% จาก 10% ในปีก่อน โดยไตรมาส 1/60 อัตรากำไรขั้นต้นก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 12.4% แล้ว ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนจะใช้เงินลงทุน 38 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิมด้วย
ขณะที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อรอมอบสินค้าอยู่ในมือ (Backlog) ราว 1 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้ รวมถึงยังได้เจรจากับค่ายรถยนต์ในการผลิตชิ้นส่วนฯให้กับโมเดลรถยนต์ใหม่ 3-4 โมเดล ที่มีมูลค่าราว 50 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาเป็นส่วนเสริมการเติบโตของรายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง และผลักดันให้รายได้ในปีนี้กลับมาเติบโตได้ระดับ 5-10% จาก 1.1 พันล้านบาทในปีก่อน
"ปีนี้เรายังคงมั่นใจว่าผลประกอบการจะกลับมามีผลกำไรสุทธิได้ โดยผลส่วนใหญ่จะมาในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งการออกรถยนต์โมเดลใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้คำสั่งซื้อชิ้นส่วนฯเข้ามามากขึ้น และทำให้บริษัทสามารถใช้กำลังการผลิตที่ถึงจุดคุ้มทุนได้"นายปรีชา กล่าว
นายปรีชา กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า ปีนี้การผลิตรถยนต์ในประเทศจะใกล้เคียงกับปีก่อนหรือราว 1.8 ล้านคัน ต่ำกว่าเป้าหมายที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดไว้ที่ระดับ 2 ล้านคัน หลังจากช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีการผลิตรถยนต์ได้เพียง 6 แสนคัน ซึ่งหากจะให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ จะต้องมีการเติบโต 15-16% ต่อเดือน ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะทำได้มากแบบนั้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของบริษัท ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานกับผู้ประกอบการรถยนต์ที่จะออกโมเดลใหม่อีก 2 โมเดลในปี 61ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนก.ค.นี้