นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ทั้งปี 60 ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5 พันล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาบริษัททำรายได้ไปแล้ว 1.13 พันล้านบาท และช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) อีก 3.1-3.2 พันล้านบาท จากมูลค่า Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 3.27 พันล้านบาท ทำให้บริษัทจะมีรายได้ในปีนี้ที่แน่นอนแล้วกว่า 4.3 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากงานใหม่ที่อยู่รอคำสั่งซื้อเข้ามาเสริมอีก 594 ล้านบาท โดยยังไม่รวมงานที่อยู่ระหว่างรอการประมูลมูลค่า 495 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดหวังจะได้งานในส่วนนี้ราว 60% ซึ่งจะผลักดันให้ Backlog ขึ้นแตะ 3.8 พันล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มอัตรากำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับปกติ 8-11% หลังจากที่ไตรมาส 1/60 อัตรากำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเป็น 11% โดยบริษัทจะเน้นรับงานที่มีมาร์จิ้นไม่ต่ำมากเกินไป แต่ยังคงเน้นรับงานภาครัฐค่อนข้างมาก เพราะเป็นงานที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานภาครัฐ 70% และส่วนที่เหลือเป็นงานโครงการของภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3/60 มีโอกาสถูกกดันจากงานโครงการอินเตอร์เน็ตตำบลที่บริษัทได้งานจำหน่ายอุปกรณ์ทั้งหมด 2 โครงการ มูลค่า 800 ล้านบาท เนื่องจากเป็นงานที่มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ต่ำมาก โดยจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในไตรมาส 3/60
นายศิริพงษ์ กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างรายได้เพื่อเน้นการเพิ่มสัดส่วนรายได้งานบริการเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ภายใน 1-2 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานโครงการสูงถึง 75% ซึ่งเป็นงานที่มีความเสี่ยงที่ขึ้นกับความไม่แน่นอนของการประมูลโครงการ ประกอบกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง โดยเฉพาะด้านราคา ทำให้บริษัทต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการเพิ่มสัดส่วนรายได้ด้านอื่นเข้ามา
ส่วนความคืบหน้าของโครงการ Data Center ภายใต้บริษัท Genesis ที่มี AIT, บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) และ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ถือหุ้นรายละ 33.33% คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาส 4/60 โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั้งหมด 600 Racks ปัจจุบันมียอดจองจากผู้ใช้บริการหลักราว 20% แล้วซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ในประเทศ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 3 ปี
ขณะที่ความคืบหน้าโครงการลงทุนเคเบิ้ลใยแก้วใต้น้ำจากเมียนมาไปถึงสิงคโปร์ มูลค่าลงทุน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทได้ร่วมทุนกับ บมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) โดย AIT ถือหุ้น 23% คาดว่าจะเริ่มเดินสายเคเบิ้ลใต้น้ำในช่วงเดือน ก.ย.60 และน่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือน ก.ย.61
ส่วนงานโครงการเคเบิ้ลใยแก้วภาคพื้นดินเส้นทางเมียนมา-กรุงเทพฯ-หาดใหญ่-สิงคโปร์ มูลค่า 400-500 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/60 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมสั่งซื้อสายเคเบิ้ล
นายศิริพงษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมองโอกาสในการเข้าร่วมงานประมูลที่จะทยอยออกมาในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า มูลค่า 2.69 พันล้านบาท เพื่อหางานใหม่เข้ามาเพิ่มเติมและรองรับรายได้ในอนาคต แต่ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าจะมีความสามารถในการช่วงชิงงานที่จะเข้าประมูลได้ในมูลค่าเท่าใด เพราะยังเป็นงานที่บริษัทอยู่ระหว่างการติดตาม