โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) หลังมองปี 60-61 จะเข้าสู่ปีทองจากการลงทุนภาครัฐ รวมถึงยังจะมีงานขนาดใหญ่ของภาคเอกชนเข้ามาด้วย ช่วยหนุนมูลค่างานในมือ (Backlog) ให้เพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง อีกทั้งงานใหม่ที่ได้เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นสัญญาจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาจ้างงานที่มีมาร์จิ้นสูง ประกอบกับ การจ่ายภาษีลดลงหลังสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ภายในปี 59 ทำให้ได้สิทธิประโยชน์จากภาครัฐ นอกจากนี้ยังลุ้นบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเครื่องจักรเก่าอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/60 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ Backlog อย่างต่อเนื่อง แต่มีค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดลง ขณะที่ราคาหุ้น SEAFCO ยังมี Upside จากแนวโน้มการรับงานฐานรากใหม่ที่ยังสดใสทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ
พักเที่ยงหุ้น SEAFCO อยู่ที่ 13.70 บาท (+0.75%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.04%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ทิสโก้ ซื้อ 16.10 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 14.25 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 14.80 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 14.40 เออีซี ซื้อ 14.10
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปี 60-61 จะเข้าสู่ปีทองของ SEAFCO จากปัจจุบันที่งานในมือทำสถิติสูงสุด 1.67 พันล้านบาท และเตรียมเซ็นสัญญารับงานใหม่อีก 3 งาน มูลค่าราว 300 ล้านบาทเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่มูลค่า 2-3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรู้ผลการประมูลภายในปีนี้ ตามปริมาณงานภาคเอกชนที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงแรม รวมไปถึงศูนย์สุขภาพ ที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังคาดว่าครึ่งปีหลัง SEAFCO จะมีงานเพิ่มเข้ามาอีกมาก ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู และเหลือง ที่คาดว่าจะมีมูลค่างานฐานรากราว 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ บมจ.ช.การช่าง (CK) ได้ไป มีโอกาสจะให้งานแก่ SEAFCO เพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากอยู่แล้ว ส่วนรถไฟฟ้าสายชมพูและเหลืองที่พันธมิตรกลุ่ม BSR ได้ไปก็มีความสนใจ SEAFCO เช่นกัน แต่โครงการนี้กว่าจะลงนามในสัญญาคาดว่าคงล่วงเข้าสู่ปลายไตรมาส 3/60 แล้ว ดังนั้น จึงมีโอกาสที่รายได้จะเกิดขึ้นในปีนี้ และบางส่วนล้ำไปยังปี 61 ด้วย
ขณะเดียวกัน ยังมีงานขนาดใหญ่ที่ SEAFCO มีโอกาสได้อีกมาก คือรถไฟฟ้าส่วนขยายอื่น ๆ รถไฟทางคู่ รวมทั้งโครงการ Mixed Use ที่ถ.พระราม 4 มูลค่ามหาศาล เช่น โครงการ One Bangkok ของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี และโครงการที่ดำเนินการร่วมกันระหว่างบมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) และบมจ.ดุสิตธานี (DTC) เนื่องจากผู้ประกอบการกลุ่มฐานรากยังมีจำนวนน้อย
"นอกจากงานที่คาดว่าจะได้เพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลังคือรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู และเหลือง SEAFCO ก็ยังมีโอกาสได้อีก คือรถไฟฟ้าส่วนขยายอื่น ๆ เช่น สายสีม่วง เขียว แดง และน้ำเงิน รวมทั้งรถไฟทางคู่ก็กลับมาประมูล ทั้งหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และ นครปฐม-หัวหิน รวมทั้งโครงการ Mixed Use ของกลุ่มคุณเจริญ และกลุ่มดุสิตที่ผนึกเซ็นทรัลด้วย"นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ดีบีเอสฯปรับประมาณการกำไรของ SEAFCO ดีขึ้นในปี 60 และ ปี 61 จากการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ภายในปี 59 จะนำสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ คือคิดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาได้เป็น 2 เท่าจากจำนวนจริงในการคำนวณภาษีเงินได้ จึงปรับอัตราภาษีเงินได้ปีนี้และปี 61 ลดลงเป็น 10% จากเดิม 20%
นอกจากนี้ยังเพิ่มกำไรพิเศษทั้งปีนี้ และปีหน้าด้วย หลังในงวดไตรมาส 1/60 มีกำไรขายเครื่องจักรเก่า 9.5 ล้านบาท ซึ่งมีความไม่แน่นอนว่าจะบันทึกกำไรเมื่อใด แล้วแต่เวลาที่ขายได้สำเร็จ จึงสมมุติให้ปี 60 และปี 61 มีรายการนี้ปีละ 9.5 ล้านบาท ส่วนปีนี้ SEAFCO คาดว่าจะมีการซื้อเครื่องจักรใหม่อีก 4 เครื่องที่มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่นำมาใช้ในงานรถไฟฟ้าในส่วนที่อยู่ใต้ดิน แต่เรื่องสิทธิประโยชน์จากภาครัฐยังไม่ชัดเจนว่าจะต่ออายุจากปี 59 หรือไม่
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน SEAFCO มีงานในมืออยู่ที่ 1.67 พันล้านบาท และน่าจะเพิ่มเป็น 1.9 พันล้านบาท หากรวมงานใหม่ที่จะได้รับมาในเดือน พ.ค.ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ SEAFCO เปิดดำเนินงานมา นอกจากนั้น ยังมีโอกาสค่อนข้างมากที่จะได้ subcontract งานภาครัฐที่เพิ่งเปิดประมูลจากผู้รับเหมารายใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสีส้ม ชมพูและเหลือง และโครงการภาครัฐที่จะเปิดประมูลในปีนี้ รวมถึงโครงการภาคเอกชนที่จะออกมาในปีนี้และปีหน้าอีกมาก
แนวโน้มกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/60 คาดว่าจะอยู่ที่ 46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตาม Backlog ที่เติบโตขึ้น และค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่ลดลง แต่กำไรดังกล่าวจะลดลง 24% จากไตรมาส 1/60 เนื่องจากไตรมาส 2 มีวันหยุดค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเริ่มมีฝนตกทำให้เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง อย่างไรก็ดีคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 16.6% ในช่วงไตรมาส 1/60 มาอยู่ที่ 17.0% จากสัดส่วนงานค่าแรงอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้น
บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า งานในมือของ SEAFCO ที่มีอยู่ คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ประมาณ 80-90% ซึ่งน่าจะทำให้มีรายได้แน่นอนแล้วถึง 80-90% ของประมาณการรายได้ปีนี้ แม้ว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าของภาครัฐจะยังไม่เริ่มและยังไม่ได้รวมอยู่ใน backlog ก็ตาม ดังนั้น จึงมองว่าถึงแม้จะเกิดความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการสายสีส้ม ชมพูและเหลือง ก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบกับประมาณการเลย
นอกจากนี้ backlog ดังกล่าวยังไม่ได้รวมโครงการใหม่ One Bangkok ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท และ SEAFCO เพิ่งเซ็นสัญญาก่อสร้างงานฐานรากซึ่งเป็นสัญญาณว่า backlog มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปีนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยตอกย้ำมุมมองว่าจะมีงานก่อสร้างจากทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากที่จะทะลักเข้ามาในอุตสาหกรรม และเจ้าตลาดอย่าง SEAFCO ก็จะได้อานิสงส์ในเรื่องดังกล่าวด้วย
ขณะเดียวกันก็เริ่มพบว่างานใหม่ที่ SEAFCO ได้เริ่มที่จะเปลี่ยนไปเป็นสัญญาจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาจ้างงานที่มีมาร์จิ้นสูง โดยสัดส่วนของสัญญาจ้างประเภทนี้เพิ่มขึ้นจาก 35% ในไตรมาส 1/59 เป็น 41% ในไตรมาส 1/60 นอกจากนี้ backlog ในปัจจุบันเป็นงานภาครัฐ 47% และอีก 53% เป็นงานภาคเอกชน ซึ่งหมายถึงยังมีโอกาสที่อัตรากำไรของ SEAFCO จะเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต
ส่วน บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ด้วยว่า แนวโน้มการรับงานฐานรากใหม่ที่ยังสดใสทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งคาดหนุนกำไรของ SEAFCO ให้เติบโตเด่นเฉลี่ยปีละ 32.9% ในช่วงปี 60-61 อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จาราคาเป้าหมาย ขระที่คาดว่า SEAFCO ยังจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ปีนี้ราว 3%