นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (12-16 มิ.ย. ) ทิศทางยังเคลื่อนไหวทรงตัว แกว่งในกรอบ Sideway ระหว่าง 1,558-1,580 จุด โดยยังรอดูการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยและลดสินทรัพย์
ขณะที่การเลือกตั้งอังกฤษที่ไม่เป็นไปตามคาด ด้านเลือกตั้งสภาฯฝรั่งเศสอาจต้องรอถึงปลายสัปดาห์ และนักลงทุนจะรอดูผลประชุม FOMC แม้ผลเหล่านี้จะออกมาดี แต่จะไม่ได้กระตุ้นแรงซื้อให้กลับเข้ามาในตลาดต่างประเทศ และการเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำคาดจะยังดำเนินต่อไป
สำหรับแรงซื้อที่เข้ามาในตลาด จะมาจากตัวแปรด้านเศรษฐกิจ อาทิ การลงทุนภาครัฐบาล และแนวโน้มธุรกิจของหุ้นเป็นรายตัว ขณะที่หุ้นธนาคารบางแห่ง อาจมีประเด็นความเสี่ยงทางการเงินของลูกหนี้บางราย อย่างบมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) เข้ามากดดันราคาหุ้น
โดยกลยุทธ์การลงทุน ยังแนะนำเป็น "ถือ" และคงเงินสดในพอร์ตไว้ 30% เนื่องจากตลาดยังไปไหนไม่ไกล แต่ก็จะไม่ลงแรงเช่นกันถ้าไม่มีข่าวร้าย สัปดาห์นี้จับตาดูผลประชุม FOMC ที่น่าจะมีผลต่อตลาดมากที่สุด กรอบเวลาการลงทุน ควรเป็นการเล่นสั้น ๆ เน้นหุ้นเสี่ยงต่ำ รายได้และผลกำไรยังดีและไม่อิงภาวะเศรษฐกิจมากนัก
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่ให้ความสนใจ 2 กลุ่ม จะเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัย ที่ราคาหุ้นลงมามากจนมี downside น้อย และบางตัวมีผลประกอบการดีและอัตราเงินปันผลสูง และอีกกลุ่ม คือ หุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนโซลาร์ จากนโยบายเพิ่มอัตราส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนมากขึ้น โดยแนะนำหุ้นเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ PSH , CK หุ้นมีข่าวหรือมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ GFPT, TISCO,SCC,PTT, SENA, MTLS , EGCO, BCPG , MEGA และหุ้นเชิงเทคนิค ได้แก่ PAP , PSL
นายวิน กล่าวว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การเมืองในยุโรปยังที่มีประเด็นการที่พรรคอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ คว้าที่นั่งในสภาฯได้เพียง 319 ที่นั่ง จากที่ต้องการอย่างน้อย 326 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งของอังกฤษเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้องมีการตั้งรัฐบาลผสมหรือรัฐบาลทีมีเสียงส่วนน้อย อาจทำให้กระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ไม่ราบรื่น แต่ยังไม่ถึงขั้นยกเลิก ขณะที่การเลือกตั้งรัฐสภาของฝรั่งเศส 2 รอบ คือ 11 และ 18 มิ.ย. หากพรรค"ออง มาร์ชี" ของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครอง ชนะการเลือกตั้ง จะทำให้การผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ ของรัฐบาลทำได้โดยสะดวก
ขณะที่ปัจจัยต่อมาคือ การประชุม FOMC ที่ปรับนโยบายการเงิน สัปดาห์นี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับการประชุมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75-1.0% เป็น 1.0-1.25% และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การระบุในเรื่องการลดขนาดสินทรัพย์ของเฟดลง จากปัจจุบันที่ 4.43 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพราะมีผลต่อการดึงเงินออกจากระบบของเฟด และ Fund Flow ขณะที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) ในวันที่ 15 มิ.ย. การประชุมธนาคารกลางสวิสเซอร์แลนด์ ในวันที่ 15 มิ.ย. และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 16 มิ.ย.คาดการณ์ว่าจะไม่มีการปรับนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราคาน้ำมันดิบ มีโอกาสรีบาวด์ แต่ระยะยาวยังไม่ปรับตัวขึ้นมาก การคว่ำบาตรประเทศกาตาร์ อาจไม่มีนัยยะต่อการผลิตน้ำมันมากนัก ทำให้มองว่า การลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) นั้น ทำเพื่อเพียงเพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบให้ไม่ต่ำไปกว่า 45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เท่านั้น การผลิตน้ำมันที่เพิ่มเข้ามาในตลาดของผู้ผลิตอื่น จะกดดันให้ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำไปอีกอย่างน้อย 2 ไตรมาส แต่จะบวกต่อผู้ใช้น้ำมันเป็นตัวอ้างอิงต้นทุน โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีต้นน้ำ และจะดีต่อกลุ่มนี้มากขึ้น ถ้าเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวดีอยู่