นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) คาดว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบในระยะยาวน่าจะยังอยู่ในช่วง 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่าอาจจะมีความผันผวนขึ้นลงบ้างได้ในระยะสั้นตามกระแสข่าวที่เข้ามากระทบบ้าง แต่เชื่อว่าระดับราคาจะไม่ปรับขึ้นไปถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เนื่องจากปัจจุบันตลาดน้ำมันมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามามากขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดเสรีทำให้ทิศทางราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น ซึ่งหากระดับราคาน้ำมันปรับขึ้นไปถึงระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะเห็นผู้ผลิตในสหรัฐระดมเจาะหลุมผลิตมากขึ้น ก็จะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมา
ส่วนกรณีความขัดแย้งของกลุ่มชาติอาหรับกับกาตาร์ จนอาจกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันหรือไม่นั้น เชื่อว่าจะคงจะอยู่ในภาวะไม่นาน เพราะการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง shale oil และ shale gas สามารถดำเนินการได้เร็ว โดยหากมีปัญหาเกิดขึ้นจนทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันลดลงไป ก็อาจจะเห็นราคาผันผวนในระยะสั้น แต่ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่ยังมีอยู่มาก ก็จะทำให้มีปริมาณการผลิตกลับขึ้นมาทดแทนได้ภายในครึ่งปี
นายเทวินทร์ กล่าวอีกว่า การที่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ต้องหยุดผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ ส.ป.ก.โครงการสิริกิติ์ (S1) นั้น ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตามคำสั่งของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาตินั้น คาดว่าจะทำให้รายได้ของ PTTEP หายไปส่วนหนึ่ง แต่น่าจะเป็นผลแค่ระยะสั้น เพราะขณะนี้หน่วยงานที่ที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการหาทางแก้ไข น่าจะได้ข้อสรุปภายในระยะเวลาไม่นานนัก เนื่องจากการหยุดผลิตปิโตรเลียมดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นกว้างทั้งต่อธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในประเทศที่ใช้น้ำมันดิบจากแหล่ง S1 ทำให้ต้องเสียเงินนำเข้าน้ำมันดิบเข้ามาทดแทน ,โรงไฟฟ้าลานกระบือ ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง S1 ก็ต้องหันไปใช้เชื้อเพลิงอื่นทดแทน ตลอดจนสูญเสียภาษีและค่าภาคหลวงที่รัฐบาลจะได้รับจากการผลิตปิโตรเลียมดังกล่าว