นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกสกู๊ต เปิดเผยว่า นกสกู๊ตเตรียมแผนขยายเส้นทางการบินใหม่ ทั้งจุดหมายปลายทางฝั่งตะวันออก อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี และฝั่งตะวันตก หลังจากได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (AOC) ในวันนี้ ขณะที่จะมีการรับมอบเครื่องบินใหม่ 1 ลำในปลายปีนี้ เป็นเครื่องบินโบอิ้ง B777-200 จากปัจจุบันมีอยู่ 3 ลำ เป็นเครื่องบินโบอิ้ง B777-200
ปัจจุบัน สายการบินนกสกู๊ต มี 6 จุดบินไปยังจีนและไต้หวัน ได้แก่ หนานจิง ชิงเต่า เทียนจิน เซิ่นหยาง ต้าเหลียน และ ไทเป
นายปิยะ คาดว่า ปีนี้จำนวนผู้โดยสารของนกสกู๊ตจะเพิ่มเป็น 1.1 ล้านคนจากปีก่อน 8 แสนคน และมีอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) 80-85% แต่ยอมรับว่าไตรมาส 2/60 ผลประกอบการอาจจะไม่ดีเท่ากับไฮซีซั่นในช่วงไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้ 1.33 พันล้านบาท เติบโต 53.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 9.9 ล้านบาทจากปีก่อนขาดทุน ขณะที่ Cabin Factor อยู่ที่ 81% จากระดับ 77% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/60 จะออกมาดีขึ้น โดยขณะนี้มียอดจองสูงกว่าคาด ทำให้มีโอกาสสูงที่ปีนี้อาจจะพลิกกลับมามีกำไร โดยปัจจุบันมีอัตราการใช้เครื่องบินอย่างประสิทธิภาพที่ 11.7 ชม./ลำ/วัน จากปีก่อน 6.5 ชม./ลำ/วัน
ส่วนกรณีบมจ.สายการบินนกแอร์ (NOK ) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของสายการบินนกสกู๊ตในสัดส่วน 51% มีแนวโน้มหาพันธมิตรใหม่เข้ามานั้น นายปิยะ กล่าวว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับสายการบินนกสกู๊ต
"ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ บริษัทแม่ อะไรที่เกิดขึ้นกับนกแอร์ไม่น่าจะกระทบ เพราะนกสกู๊ตเป็นการบริหารในรูปบริษัท" นายปิยะ กล่าว