บมจ.ที.ซี.เจ.เอเซีย (TCJ) มั่นใจภาพรวมในปีนี้รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,245.38 ล้านบาท และผลประกอบการทั้งปีจะพลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุนราว 2.2 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าปีนี้จะมีกำไรสูงกว่าปี 58 ที่มีกำไรราว 50 ล้านบาท หลังจากไตรมาสแรกกำไรไปแล้ว 27 ล้านบาท ขณะที่มองแนวโน้มครึ่งปีหลังผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายทัสชน ลีลาประชากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ TCJ กล่าวว่า บริษัทคาดจะผลประกอบการปีนี้พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ หลังจากไตรมาส 1/60 สามารถทำกำไรสุทธิได้แล้วราว 27.20 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิทั้งปีนี้จะเติบโตจากปี 58 ที่มีกำไรสุทธิ 49.93 ล้านบาท โดยเชื่อว่าผลงานครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกตามปริมาณงานโครงการภาครัฐที่เริ่มทยอยก่อสร้างมากขึ้น หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกนี้เป็นช่วงของการเร่งเปิดหน้างานให้ผู้รับเหมาเข้าไปทำงาน
บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,245.38 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของ 4 กลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็น ธุรกิจซื้อ-ขายเครื่องจักรกลที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนัก รวมไปถึงรถยก รถโฟลค์ลิฟต์ และยายนต์อุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อใช้ประกอบในการก่อสร้าง การจัดการคลังสินค้า , ธุรกิจให้เช่า รถเครน รถขุด รถบรรทุกติดเครน รถยก รถโฟลค์ลิฟต์ และเครื่องจักรหนักที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างและขนส่ง, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กไร้สนิม และธุรกิจให้บริการขึ้นรูป ประกอบและติดตั้งการตกแต่งอาคารสถานที่ด้วยเหล็กไร้สนิม
ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้จะได้รับผลดีจากการที่ภาครัฐได้อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ,สายสีเหลือง และสายสีชมพู มูลค่ารวมราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในไตรมาส 3/60 และน่าจะแล้วเสร็จในปี 66 และโครงการรถไฟทางคู่ มูลค่ารวมกว่า 8 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 61 และอนุมัติโครงการทางด่วนพระราม 3 ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก และอยู่ระหว่างรอการอนุมัติโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ เพิ่มเติมอีก คาดว่าจะสามารถอนุมัติได้ในช่วงปลายปีนี้ และเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า
ขณะที่ยังมีโครงการโรงไฟฟ้า ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ที่ตั้งเป้าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 70,000 เมกะวัตต์ในปี 79 ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจเครื่องจักรกลที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนัก ทั้งการขายเครื่องจักรและการให้เช่า ที่จะมีโอกาสรับงานจากกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ที่ได้รับโปรเจ๊กต์งานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และงานอื่นๆ
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กไร้สนิม (สแตนเลส) ที่ใช้ในการก่อสร้าง และตกแต่งต่างๆ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการขายในประเทศราว 80% และต่างประเทศ 20% และมีการส่งออกมากกว่า 30 ประเทศ โดยที่ผ่านมา TCJ ได้เข้าไปเจาะตลาดในประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มากขึ้น เนื่องด้วยมีอัตราการเติบโตที่สูงเฉลี่ย 7-10% ต่อปี ก็น่าจะส่งผลทำให้ยอดขายในต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นในอนาคต
สำหรับการให้บริการขึ้นรูปประกอบติดตั้งด้วยเหล็กไร้สนิม (สแตนเลส) บริษัทได้ขยายเข้ารับงานอาคารสูงมากขึ้น จากเดิมที่มุ่งเน้นการรับงานโครงการภาครัฐเป็นหลัก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเข้ารับงานติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งในโครงการคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง จากภาวะการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มจับตลาดบนมากขึ้นก็น่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความต้องการใช้โลหะที่มีมูลค่าสูงอย่างสแตนเลส
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจาก การขายแผ่นเหล็ก/สแตนเลส 15% ,การขายเครื่องจักร 9% ,การผลิตและจำหน่ายท่อสแตนเลส 36% ,การประกอบติดตั้ง 6%, และ การบริการให้เช่าเครื่องจักร 34%
นายทัสชน กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 คาดน่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก จากยังมีงานในมือ (Backlog) ที่คาดจะรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มเติม และอยู่ระหว่างรอผู้รับเหมาอนุมัติให้เข้าไปเริ่มดำเนินการในด้านงานเครน ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูง โดยน่าจะเริ่มงานได้ภายในไตรมาส 2/60 นี้อย่างแน่นอน