นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล่า (ALLA) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/60 จะเติบโตค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้ 105.39 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5.55 ล้านบาท เนื่องจากมีงานจำนวนมากที่เลื่อนการรับรู้รายได้มาจากไตรมาสแรกมาในไตรมาสนี้ และยังมีงานที่จะรับรู้ฯ เข้ามาตามแผนปกติด้วย
"ในช่วงไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาการรับรู้อาจจะมีการล่าช้าไปบ้างเพราะการรับรู้รายได้ของเราจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อส่งมอบงานแล้วเสร็จ แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ช้าที่เราแต่เป็นการล่าช้าในส่วนของงานโครงสร้างก่อนที่เราจะถึงงานส่วนของเรา แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่าค่อนข้างดีเพราะงานในมือเรามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และจะมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง"นายองอาจ กล่าว
สำหรับภาพรวมทั้งปีบริษัทฯยังคงมั่นใจว่ารายได้จะเติบไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 607.46 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59.01 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ฯ เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 70-80% ในขณะเดียวกันยังมีงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้บริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างประมูลกว่า 2,000 ล้านบาทที่จะทยอยรู้ผลในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดหวังที่จะได้งานไม่ต่ำกว่า 20% ของมูลค่าที่ยื่นประมูลไป
บริษัทยังคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญารับงานเครนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงกลางไตรมาส 3/60 มูลค่าราว 40-50 ล้านบาท หากได้รับเข้ามาจะช่วยเพิ่มโอกาสการขยายลูกค้าใหม่ในกลุ่มงานโครงสร้างพื้นฐาน นอกเหนือจากปัจจุบันที่เน้นลูกค้าในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมหนักอื่นๆ
นอกจากนี้บริษัทยังเริ่มเข้าไปเสนองานเครนให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขยะ 2-3 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศด้วย จึงเชื่อว่าอนาคตจะมีคำสั่งซื้อเข้ามาจากกลุ่มโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 อุตสาหกรรม
"ผลประกอบการของเราทั้งปีเรายังคงมั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าชะลอไปบ้าง แต่เป็นเพียงเลื่อนรับรู้รายได้ ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมามีงานออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และยางรถยนต์ ที่มีการฟื้นตัว และมีการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโลจิสติกส์ และคลังสินค้า ที่มีการเติบโตด้วย"นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศอินโดนีเซียนั้นขณะนี้ได้จัดโครงสร้างต่างๆเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/60 และจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป โดยขณะนี้บริษัทก็ได้เดินหน้าเพื่อที่จะเจรจากับลูกค้าในการรับงานรองรับบริษัทใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้น
หลังจากดำเนินกิจการในประเทศอินโดนีเซียไปซักระยะหนึ่งแล้ว บริษัทจะมีการพิจารณาเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศเมียนมาเพิ่มเติม หลังจากเห็นโอกาสที่กลุ่มผู้ประกอบการญี่ปุ่นเข้าไปลงทุนในเมียนมาเป็นจำนวนมาก โดยจะใช้โมเดลเดียวกันในการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย แต่อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะเป็นการลงทุนเองทั้งหมดหรือเป็นการร่วมลงทุน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 61
"การขยายต่างประเทศนั้น เรามองว่าประเทศอินโดนีเซียยากแล้ว ซึ่งเราสามารถทำได้ การจะไปประเทศอื่นๆเราก็คิดว่าเราจะสามารถทำได้ ซึ่งเราจะใช้โมเดลเดียวกันในการเข้าไปขยายการลงทุนในประเทศอื่นๆด้วย โดยเราจะมุ่งเน้นการขยายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก"นายองอาจ กล่าว
นอกเหนือจากงานขายแล้ว บริษัทฯยังมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากบริการหลังการขายให้มากขึ้นด้วย จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ราว 20% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ที่ไม่แน่นอนจากงานโครงสร้างก่อนหน้าที่จะติดตั้งเครนมักมีความล่าช้า แต่หากสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานบริการหลังการขายจะช่วยให้ผลประกอบการมีเสถียรภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลของลูกค้า แต่คาดว่าจะเห็นแผนงานและเป้าหมายที่ชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 3/60