บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/60 หากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ยังมีความล่าช้า บริษัทก็จะพิจารณาปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงจากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 10% โดยขณะนี้บริษัทมีงานในมือแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 50% และมียอดขายรอรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ 4-5 พันล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 700 ล้านบาท ขณะที่อยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานภาครัฐและงานเกี่ยวข้องภาครัฐในไตรมาส 2/60 ราว 6.98 หมื่นล้านบาท หวังจะได้รับงานราว 7 พันล้านบาท
ขณะที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/60 จะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากไตรมาส 1/60 ขาดทุน 6.54 ล้านบาท
นายวิสุทธิ์ สุวรรณวิทย์เวช รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ NWR กล่าวว่า บริษัทฯตรียมพิจารณาปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ เนื่องจากงานภาครัฐ และงานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ รวมถึงงานรับช่วง อาจจะมีความล่าช้าออกไป หรือหลายงานมีการพลิกล็อค
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานใน 5 กลุ่มหลัก เช่น งานท่าเรือ ,งานโรงไฟฟ้า ,งานระบบราง ,งานอาคารต่างๆ และงานปิโตรเคมี เป็นต้น มูลค่างานรวม 69,835 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังปีนี้ และคาดหวังจะได้รับงานราว 7,000 ล้านบาท ส่งผลให้งานในมือ (Backlog) จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ราว 12,716 ล้านบาท แบ่งเป็นงานที่เซ็นสัญญาแล้ว 10,874 ล้านบาท และงานที่รอเซ็นสัญญา 1,842 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ 50%
ขณะที่มองภาพรวมอุตสาหกรรมการก่อสร้างในปีนี้ยังคงมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะโครงการภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ก็อยู่ระหว่างติดตามงานอย่างต่อเนื่อง เช่น กระทรวงคมนาคม มีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟ ,มอเตอร์เวย์,รถเมล์,การใช้ระบบตั๋วร่วม (e-Tickets) คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ในปีนี้ทั้งหมด
นายวิสุทธิ์ มองการลงทุนของภาครัฐในอนาคตในช่วง 3 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตมากขึ้น จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก. (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่น่าจะยกระดับการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการลงทุนของภาคเอกชนที่จะตามมา
"ปัจจุบันเรายังคงเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 10% อยู่ โดยเราก็อยู่ระหว่างติดตามงานภาครัฐที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเราเวลาดูงานของภาครัฐก่อนว่าจะออกมาได้ตามที่คาดหรือไม่ หากมีความล่าช้า หรือการเข้าประมูลงานแล้วเกิดพลิกล็อค เราอาจจะมีการปรับลดการเติบโตในปีนี้ ขณะที่มองแนวโน้มในไตรมาส 2/60 น่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ จากไตรมาสแรกขาดทุน 6.54 ล้านบาท หลังจากโรงงานพรีคาสต์ จ.ชลบุรี สามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ตามออเดอร์แล้ว"นายวิสุทธิ์ กล่าว
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ราว 5% จากปัจจุบันมียอดขายรอโอน อยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ยอดโอนในปีนี้ราว 700 ล้านบาท โดยโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินร่วมกับบริษัท ซี.ไอ.เอ็น.เอสเตท จำกัด ซึ่งบริษัทย่อยของ NWR คือ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 40% นั้น ปัจจุบันยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ได้แก่ ดิ อิสระ ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท คาดว่าจะขายได้หมดในปีนี้ ,อิสซี่ คอนโด สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ขายไปแล้ว 77% โอนแล้ว 67% และบ้านอิสสระ บางนา มูลค่า 2,600 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการสร้างบ้านตัวอย่าง คาดปลายปีนี้ หรือต้นปี 61 จะดำเนินการแล้วเสร็จ ซึ่งคาดปีนี้จะสามารถรับรู้ยอดโอนของบริษัท ซี.ไอ.เอ็น.เอสเตท จำกัด ได้ราว 200 ล้านบาท
ขณะที่โครงการที่บริษัทพัฒนาเอง คือ วิลล่า บารานี มูลค่า 630 ล้านบาท คาดว่าจะขายได้หมดภายในต้นปีหน้า ส่วนโครงการภายใต้ บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ได้แก่ บารานี พาร์ค มูลค่า 1,000 ล้านบาท ขายไปแล้ว 27% โอนแล้ว 6% ,เอสเพน คอนโด ลาซาน (เฟส A) มูลค่า 780 ล้านบาท ขายไปแล้ว 81% คาดว่าจะเริ่มโอนช่วงปลายไตรมาส 3/60 ,เอสเพน คอนโด ลาซาล (เฟส B) มูลค่า 750 ล้านบาท ขายไปแล้ว 39.7% คาดจะเปิดให้ลูกค้าตรวจห้องปลายปี 61 และบารานี เรสซิเดนซ์ รังสิต คลอง 3 มูลค่า 850 ล้านบาท ขายไปแล้ว 13% โอนแล้ว 5% อยู่ระหว่างเร่งการขาย คาดว่าปีนี้น่าจะปิดการขายได้ตามเป้าหมาย
นายวิสุทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้เริ่มลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจอาหาร โดยจะเน้นรูปแบบอาหารเพื่อส่งออก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างส่งสินค้าให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบและอนุมัติ รวมถึงอาหารประเภทสแน็คก็อยู่ระหว่างทดลองขายในประเทศ และร้านอาหารไทยที่คาดในปีนี้จะได้เห็นร้านอาหาร 2 แห่ง วางงบลงทุนราว 20 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้น่าจะยังน้อยอยู่
ทั้งนี้ บริษัทจะยังมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างราว 90% และที่เหลือจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างน่าจะปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ราว 80-90% โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหาร น่าจะมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯ เตรียมออกหุ้นกู้ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี ในเดือนส.ค.นี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดอายุ และใช้รองรับการขยายธุรกิจ