หุ้น MALEE ราคาร่วงลง 8.74% มาอยู่ที่ 41.75 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 220.38 ล้านบาท เมื่อเวลา 15.39 น. โดยเปิดตลาดที่ 45.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 45.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 41.25 บาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับลดคำแนะนำเป็น "ขาย"หุ้น บมจ.มาลีกรุ๊ป (MALEE) แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/60 น่าจะหดตัวแรงคาดไว้ที่ -29% Q-Q และ -41% Y-Y จากทั้งการชะลอตัวของรายได้ในประเทศ จากปัญหากำลังซื้อ และส่งออก ขณะที่การปรับปรุงระบบตรวจสอบคุณภาพสินค้าครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบรายได้ขายน้ำมะพร้าว ซึ่งนำไปสู่การหดตัวลงของมาร์จิ้นจากทั้งอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง และ Product mix เปลี่ยนไป
หากกำไรไตรมาส 2/60 เป็นไปตามคาด บริษัทจะมีกำไรสุทธิช่วงครึ่งแรกปีนี้ ลดลง 20% Y-Y จึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ลง 25% เป็นการหดตัวลง 2.5% Y-Y จากเดิมคาดโต 29% Y-Y ทั้งนี้ยังมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของยอดขายในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และผลกระทบของภาษีค่าความหวาน เพราะยังมีความไม่แน่นอนในกรณีที่อาจไม่ให้ Grace Period (เวลาปรับตัว 2 ปี) แก่ผู้ประกอบการที่ไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต ซึ่ง MALEE จะเข้าข่ายด้วย ทั้งนี้จากการปรับลดกำไร นำไปสู่การปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 44 บาท จากเดิม 57.5 บาท (อิง PE เดิม 23 เท่า) ราคาหุ้นเต็มมูลค่าแล้ว
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 84 ล้านบาท (-29% Q-Q, -41% Y-Y) เป็นระดับกำไรที่ไม่สดใสนัก จากรายได้ลดลง ตามการหดตัวของธุรกิจในประเทศทั้งในส่วนของ Brand และธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (CMG) เนื่องจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและฝนที่มาเร็วและบ่อยกว่าปกติ
ธุรกิจส่งออกในส่วนของ CMG ปรับลดลง โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมะพร้าว เนื่องจากอยู่ระหว่างปรับระบบการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบน้ำมะพร้าวทั้งระบบ Supply Chain ครั้งใหญ่ จากเดิมที่ตรวจสอบเฉพาะปลายทางเท่านั้น แต่เมื่อสัดส่วนรายได้จากน้ำมะพร้าวเริ่มมีนัยสำคัญต่อภาพรวมรายได้มากขึ้นเป็น 25% ของรายได้รวม ใกล้เคียงกับกลุ่มน้ำผลไม้ กอปรกับลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯเริ่มมีความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณสินค้ามากขึ้น ทำให้บริษัทได้เริ่มเตรียมระบบการตรวจสอบคุณภาพสินค้ามาตั้งแต่ปีก่อน และได้ปรับปรุงมากขึ้นในช่วงไตรมาส 2/60 ทำให้กระทบต่อการส่งออกไปยังต่างประเทศ
นอกจากนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำลง กอปรกับ Product Mix ที่เปลี่ยนไป โดยน้ำมะพร้าวที่มาร์จิ้นดีมีสัดส่วนลดลง จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเหลือ 29.8% จาก 31.3% ในไตรมาส 1/60 และ 33.5% ในไตรมาส 2/59