(เพิ่มเติม) INTUCH เข้าร่วมทุนใน"ดิจิโอ"รุกธุรกิจ e-wallet ตั้งเป้าส่งเข้าตลาดหุ้นใน 3-5 ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 29, 2017 13:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) โดยโครงการอินเว้นท์ เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท ดิจิโอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินและกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet) เพื่อให้ดิจิโอนำเงินลงทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ และร่วมมือกับ INTUCH ในการผลักดันการใช้ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในภาคธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย e-Payment ของรัฐบาล รวมถึงการขยายธุรกิจของบริษัทไปสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อไป

พร้อมกันนั้น ดิจิโอ ยังตั้งเป้าหมายจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3-5 ปี

อนึ่ง บริษัท ดิจิโอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ดิจิโอ เป็นผู้ประกอบธุรกิจการพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ แก่สถาบันการเงินหรือธุรกิจที่ต้องการมีระบบชำระเงินเป็นของตนเอง รวมถึงให้บริการระบบการรับชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile point of sale : mPOS) แก่สถาบันการเงิน เพื่อนำไปให้บริการต่อแก่ลูกค้าของสถาบันการเงินที่ต้องการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องรับบัตร EDC ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า โดยดิจิโอร่วมกับสถาบันการเงินต่างๆ ได้ให้บริการเครื่อง mPOS ไปแล้วกว่าแสนเครื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการตอบรับนโยบาย National e-Payment ของรัฐบาล ที่ต้องการกระตุ้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย

"อินทัช มีความสนใจลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีฐานลูกค้า มีสินค้าหรือบริการออกสู่ตลาดแล้ว และสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้า และบริการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทในกลุ่มอินทัช สามารถนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่คิดค้นได้มาเสริมศักยภาพทางธุรกิจ และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ในอนาคต โดยสตาร์ทอัพที่ได้ร่วมทุนจะได้รับเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ ความรู้ในด้านต่างๆ เช่น การเงิน บัญชี กฎหมาย และการเข้าถึงฐานลูกค้าในกลุ่มอินทัชอีกด้วย" นายคิมห์ สิริทวีชัย รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารการลงทุน และหัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุน อินเว้นท์ INTUCH กล่าว

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการร่วมลงทุนกับดิจิโอแล้ว บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุน ภายใต้โครงการอินเว้นท์อีกราว 2-3 ราย ซึ่งประกอบธุรกิจประเภท ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence:AI) ,Internet of Things (IOT) และ BIG DATA รวมถึง Application ที่สามารถทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น และผู้ประกอบการลดต้นทุน คาดว่าปีนี้น่าจะเห็นการร่วมลงทุนเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยจำนวน 1 ราย

INTUCH มีการร่วมลงทุนไปแล้วจำนวน 11 บริษัท ได้แก่ อุ๊คบี ,คอมพิวเตอร์โลจี ,เมดิเทคโซลูชั่น ,ซินโนส ,อินฟินิตี้เลเวล ,เพลย์เบลิส ,กอล์ฟดิกก์ ,ชอบสปอต, วงใน,โซเชียลเนชั่น และดิจิโอ โดยใช้วงเงินลงทุนไปแล้วราว 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงนโยบายเงินลงทุนในโครงการอินเว้นท์ไว้จำนวน 200 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการขายบริษัทที่ร่วมลงทุนไปจำนวน 2 ราย ได้แก่ คอมพิวเตอร์โลจี และชอบสปอต เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการของนักลงทุนต่างชาติ และผู้ถือหุ้นเดิมซื้อคืนกลับไป ซึ่งบริษัทฯ ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) เฉลี่ยมากกว่า 20%

ด้านนายนพพร ด่านชัยนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท ดิจิโอ(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ จะนำเงินลงทุนที่ได้จากอินทัช ไปใช้ในการขยายทีมงานเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในประเทศ และจะมุ่งเน้นบริการด้านความปลอดภัย (security solution) ในระบบชำระเงินให้มากขึ้น

พร้อมกันนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในประเทศไทย ,ออสเตรเลีย และฮ่องกง เป็นต้น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายใน 3-5 ปีจากนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยปัจจุบันบริษัท มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 23 ล้านบาท

"เรามีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งไทย และต่างประเทศ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งจะเลือก FA ก็ต่อเมื่อพิจรณาได้แล้วว่าจะระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในประเทศใด รวมถึงก็อยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศฮ่องกงและออสเตรเลียเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดและพิจารณาเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไป"

สำหรับผลประกอบการของบริษัทนั้นในอดีตสามารถสร้างการเติบโตได้เฉลี่ยราว 100-200% ต่อปี ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะมีการเติบโตแตะ 400 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 190 ล้านบาท จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการผลักดันให้ภาคเอกชนหันมาใช้เทคโนโลยีประเภทการใช้จ่ายผ่านบัตรในรูปแบบต่างๆมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทฯ ก็มีการพัฒนาระบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/60 บริษัทฯจะเปิดตัวการใช้ระบบ QR Code เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้ชำระเงิน

ขณะที่ปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มเครื่องรูดบัตรเพื่อชำระเงินผ่านระบบเป็น 200,000 เครื่อง ตามจำนวนฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจาก 110,000 รายเป็นกว่า 200,000 ราย และคาดจำนวนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มเป็น 40,000-50,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตร อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท โดยมองอุตสาหกรรมระบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย จะเติบโตสูงสุดใน 3-4 ปีจากนี้ ซึ่งทางบริษัทฯ ได้มีความพยายามและเดินหน้าเจรจาฐานลูกค้าในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน CLMV ในกลุ่มแบงก์ คาดว่าปีนี้จะสามารถจำหน่ายเครื่องในต่างประเทศได้ 2 แบงก์ ใน 2 ประเทศ ได้แก่ เมียนมาและลาว ซึ่งเชื่อว่าในระยะถัดไปฐานลูกค้าจะกระจายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ