นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานกรรมการ เครือสหพัฒน์ และบมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) (LAZADA) เพื่อการรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยจะใช้ช่องทางการขายสินค้าของเครือสหพัฒน์ผ่านเว็บไซต์ www.lazada.co.th อย่างเป็นทางการ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้นำร่องสินค้าหลากหลายแบรนด์เข้าไปในเว็บไซต์ของลาซาด้าตั้งแต่ปี 57 และได้ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการขาย ระบบคลังสินค้า การจัดส่ง รูปแบบการชำระเงิน ศูนย์บริการลูกค้า ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค จนได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในการซื้อสินค้าของเครือสหพัฒน์ผ่านเว็บไซต์ลาซาด้า
โดยบริษัทตั้งหมายการขายผ่านช่องทางเว็บไซต์ลาซาด้า ซึ่งจะเป็นช่องทางหลักในการขายสินค้าในเครือของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ในช่วง 3 ปี (ปี 60-62) จะมีสัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 10% หรือคิดเป็นยอดขาย 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีสัดส่วนต่ำกว่า 10% และในระยะยาวมองไปถึงการเพิ่มสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็น 20% ในอนาคต ซึ่งยังต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าพฤติกรรมของลูกค้าจะเริ่มหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพราะปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงซื้อสินค้าในรูปแบบเดิมหรือการเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าภายในระยะเวลาไม่เกินอีก 20 ปีข้างหน้า สัดส่วนการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% เพราะประชาชนรุ่นใหม่เริ่มเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ทำให้การเข้าถึงช่องทางการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์จะเริ่มค่อย ๆ ได้รับความนิยม และเป็นโอกาสการเติบโตของการขายผ่านช่องทางออนไลน์ในเว็บไซต์ลาซาด้าที่จะเติบโตตามกัน
นอกจากนี้การร่วมมืออกับลาซาด้า ยังมองถึงประโยชน์ในแง่ของความเป็นมืออาชีพและความชำนาญของลาซาด้าที่มีศักยภาพ ทำให้บริษัทไม่ต้องลงทุนพัฒนาระบบของบริษัทขึ้นมาเอง ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถลดความเสี่ยงในด้านการพัฒนาระบบที่ไม่มีความชำนาญ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้เคยทำช่องทางการขายทางออนไลน์ด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้รับความนิยมและระบบต่าง ๆ ที่พัฒนาเองไม่ดี ทำให้ต้องมองหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและได้เลือกลาซาด้าเข้ามาเป็นพันธมิตร ซึ่งการขายผ่านช่องทางออนไลน์บริษัทต้องการอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการอย่างดีที่สุด และมีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง
"การเซ็นสัญญากับลาซาด้าในครั้งนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของเครือสหพัฒน์ที่จะรุกตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้น เพราะเรามองเห็นถึงโอกาสการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนานกว่าจะมีสัดส่วนการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ของตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 50% แต่มองว่าไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า ส่วนภาวะของกำลังซื้อในประเทศตอนนี้ก็ยังชะลอตัวอยู่ การจับจ่ายใช้สอยก็ชะลอตาม ส่วนหนึ่งคาดว่าทุกคนยังอยู่ในภาวะโศกเศร้าตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และทุกคนมีการนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ทำให้ภาพรวมของตลาดชะลอตัวไป แต่มองว่าหลังจากเดือนตุลาคมปีนี้บรรยากาศภาพรวมน่าจะกลับมาค่อย ๆ ดีขึ้น ก็เหมือนกับฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้น"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว