นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) คาดว่าแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/60 จะดีกว่าไตรมาส 1/60 จากธุรกิจในเครือที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดว่ารายได้จะเติบโตราว 30% โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจมือถือ ที่ดำเนินการโดย JMART ในสัดส่วน 80%, ธุรกิจติดตามหนี้ ที่ดำเนินการโดยบมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ในสัดส่วน 15%
สำหรับสัดส่วนรายได้ที่เหลือจะมาจากธุรกิจบริหารพื้นที่ให้เช่า ที่ดำเนินการโดยบมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) และธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง ที่ดำเนินการโดยบมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) เป็นต้น ส่วนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ของบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech) คาดว่าจะเห็นสัดส่วนรายได้เข้ามาในปีหน้าราว 5-10% เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของ J Fintech จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 61
ส่วนงบลงทุนของ JMART ในปีนี้ตั้งไว้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท โดยใช้ในธุรกิจปล่อยสินเชื่อ (J Fintech) ไปแล้วจำนวน 3,000 ล้านบาท และ JMT จะใช้ในการซื้อหนี้เสียมาบริหารเพิ่มเติมอีก โดยปีนี้ตั้งเป้าซื้อหนี้มูลค่าราว 30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันซื้อมาแล้วจำนวน 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้พอร์ตบริหารหนี้สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังจะมีการลงทุนในต่างประเทศ ของ JMT ที่เตรียมขยายธุรกิจไปตั้งบริษัทในประเทศกัมพูชา คาดว่าจะดำเนินการได้ในไตรมาส 3/60 เนื่องจากมีผู้ให้บริการสินเชื่อหลายราย ได้ขยายธุรกิจเข้าไปก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่มีผู้ที่ติดตามทวงหนี้
"ปีนี้เราคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ราว 30% ตามเป้าหมาย เป็นไปตามการเติบโตของทุกธุรกิจ ทั้ง JMART,JMT,J,SINGER ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 ก็คาดว่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมาด้วย"นายอดิศักดิ์ กล่าว