นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยถึงแนวโน้มยอดขายและรายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังว่า คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากสถานการณ์กำลังซื้อที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/60 และแนวโน้มเศรษฐกิจที่เห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจน หลังจากภาครัฐได้เดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ มากขึ้น และการที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายมีแผนเปิดโครงการใหม่มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีความคึกคักมากขึ้นด้วย
ในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่ารวม 6.87 พันล้านบาท โดยในไตรมาส 3/60 จะเปิดตัวโครงการมากถึง 4 โครงการ เป็นทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ และบ้านเดี่ยว 2 โครงการ และในไตรมาส 4/60 จะเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ ซึ่งเป็นไปตามแผนของบริษัทที่กำหนดไว้ว่าทั้งปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1.14 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.8 หมื่นล้านบาท และมั่นใจรายได้จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 1.9 หมื่นล้านบาทด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 6 พันล้านบาท แบ่งเป็น Backlog จากโครงการคอนโดมิเนียม 5.4 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 3.4 พันล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 พันล้านบาทจะทยอยโอนในปี 61 และ Backlog อีก 600 ล้านบาทเป็นของโครงการทาวน์เฮาส์ที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด
นายชัชชาติ กล่าวว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยต่างพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์เพิ่มมากขึ้น จากก่อนหน้าที่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้รับความนิยมมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเกิดจากพฤติกรรมของประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น มีโฉนดที่ดินเป็นของตัวเอง และอยู่ในทำเลที่ไม่ห่างจากเส้นทางรถไฟฟ้ามากนัก ทำให้เทรนด์ของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากเดิม
นอกจากนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในปัจจุบันหันมาเน้นการพัฒนาโครงการในระดับราคา 2-10 ล้านบาท เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นระดับราคาที่มีกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพค่อนข้างดีและมีกำลังซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างมีความเสี่ยงด้านการปฏิเสธสินเชื่อน้อย อีกทั้งเป็นระดับราคาที่มีฐานลูกค้าสูงที่ 1.88 ล้านคน ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนกลุ่มโครงการระดับล่างที่ราคา 0.5-2 ล้านบาท ซึ่งมีฐานลูกค้าในตลาดอยู่ที่ 2 ล้านราย โดยยังมองว่ากลุ่มโครงการระดับล่างยังคงได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว หลังจากที่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น และสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ
อย่างไรก็ตามการลงทุนพัฒนาโครงการต่างๆของผู้ประกอบการควรมีการศึกษาเกี่ยวกับดีมานด์และซัพพลาย รวมถึงศักยภาพของแต่ละทำเลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะในอนาคตการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าจะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 280 สถานี จากปัจจุบันมีจำนวนสถานีทั้งหมด 79 สถานี ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงศักยภาพของทำเลนั้นๆว่ามีจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ามากน้อยเพียงใด การเดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองมีความสะดวกหรือไม่ เพราะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยจะเห็นได้จากรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เปิดให้บริการมาแล้วพบว่ามีจำนวนผู้ใช้บริการน้อย เพราะการเชื่อมต่อเข้าเมืองไม่สะดวก ส่งผลกระทบไปถึงปริมาณซัพพลายในทำเลตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ล้นตลาด
โดยแผนการพัฒนาโครงการลงทุนระบบคมนาคมของภาครัฐในปัจจุบันมองว่าทำเลที่จะมีศักยภาพและมีความน่าสนใจที่เป็นโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการและผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย คือ ทำเลตามแนวรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี เพราะเป็นเส้นทางที่มีประชาชนอยู่อาศัยค่อนข้างมากและการเดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองง่าย อีกทั้งการขยาย CBD ใหม่มาในย่านรัชดา-พระราม 9 ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าสายสีส้มเดินทางเข้าเมืองมาทำงานสะดวกมากขึ้น แต่การพัฒนาโครงการยังคงต้องเลือกสถานีของรถไฟฟ้าให้มีความเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยง เพราะอาจจะมีบางสถานีที่ประชาชนไม่นิยมอยู่อาศัย
ส่วนแนวโน้มราคาที่ดินที่มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นกว่า 80% ซึ่งมีผลกระทบต่อการซื้อที่ดินมาเพื่อพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ และการกำหนดราคาขายโครงการที่สูงขึ้น ซึ่งมองว่าในช่วง 2-3 ปีนี้ แนวโน้มของกำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกรายจะปรับตัวลดลง เพราะราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเห็นการที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกรายลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ แต่ผู้ประกอบการจะยังต้องคำนึงถึงคุณภาพของโครงการที่ยังต้องมีคุณภาพที่ดีอยู่ เพราะในระยะยาวคุณภาพของสินค้าจะเป็นตัวชี้ว่าใครคือผู้ชนะ ซึ่งมีผลต่อการบอกต่อของลูกค้าในการแนะนำคนที่รู้จักมาเลือกซื้อโครงการนั้นๆ
"สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ QH นั้นคือเรื่องคุณภาพ เพราะว่ามีผลต่อการบอกต่อของลูกค้า ซึ่งเดี๋ยวนี้จะเห็นว่าคนที่เลือกซื้อบ้านก็ไปดูรีวิวในเว็บพันทิพหรือไม่ก็ดูตามเว็บอสังหาฯอื่นก่อนเลือกซื้อ ซึ่งเราเห็นผลจากการที่ลูกค้าบอกต่อมาจริงๆ เพราะลูกค้าที่ซื้อบ้านของ QH ส่วนใหญ่เชื่อมั่นเรื่องคุณภาพและได้รับการบอกต่อจากเพื่อนและคนรู้จักมา ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ใน Long Run จะชี้ว่าในตลาดใครจะเป็นผู้ชนะ"นายชัชชาติ กล่าว