นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บมจ.ทุ่งคาฮาร์เบอร์ (THL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.60 พิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 4,080,444,521 บาท จากเดิม 20,402,222,606 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 24,482,667,127 บาท โดยให้ออกหุ้นสามัญ จำนวน 4,080,444,521 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งคิดเป็น 20% ของทุนชำระแล้ว เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตราจัดสรร 5 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.35 บาท รวมมูลค่าเงินระดมทุน 1,428,155,583.40 บาท
“จะเห็นได้ว่า ผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทฯ และเห็นทิศทางการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน จึงมีมติให้การสนับสนุนการเพิ่มทุนในรอบที่ 2 อย่างล้นหลาม" นายวิจิตร กล่าว
การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้จะglovขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Record Date) ณ วันที่ 2 มิ.ย.60 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ด้วยวิธีปิดสมุดพักการโอนหุ้นในวันที่ 5 มิ.ย.60 และกำหนดวันจองซื้อและรับชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในวันที่ 17-21 ก.ค.60
สำหรับวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่และพลังงานทางเลือกประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 400 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ
นายวิจิตร กล่าวว่า หากการเพิ่มทุนครั้งนี้ประสบความสำเร็จจะทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จกับการเพิ่มทุนในรอบที่แล้ว และสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในเวลาเพียง 1 ปี หลังจากนี้ ก็จะดำเนินการตามกระบวนการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อที่จะนำบริษัทกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เร็วที่สุด
อนึ่ง เมื่อวันที่ 18 มี.ค.59 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการเพิ่มทุนไปแล้ว 1 ครั้ง ระดมทุนได้กว่า 982 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้วางทรัพย์ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการครบถ้วนทุกกลุ่มเป็นที่เรียบร้อย คิดเป็นเงินจำนวน 529 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือใช้ลงทุนในโครงการที่มีอยู่ โดยสามารถดำเนินงานได้เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ ได้แก่ ธุรกิจเหมืองหินภายในประเทศเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 25,000 ตันต่อเดือน และมีสัญญาซื้อขายเกินเป้าหมายสูงถึง 400,000 ตันต่อปี ส่วนธุรกิจเหมืองดีบุกในเมียนมาร์ กำลังการผลิต 90 ตันต่อเดือน และมีสัญญาซื้อขายเต็มจำนวนจากกลุ่มลูกค้าในประเทศไทย
ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการเดอะเบย์ จังหวัดภูเก็ต ยังดำเนินการตามแผนที่วางไว้
"จากความสำเร็จในการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทมีแผนที่จะขยายการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติม จึงมีความจำเป็นต้องระดมทุนในรอบที่ 2 เพื่อทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"นายวิจิตร กล่าว