นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บมจ.แฮลเชี่ยน เทคโนโลยี (HTECH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งหมายในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 61-63) ในด้านรายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ซึ่งบริษัทยังคงได้รับปัจจัยสนุบสนุนจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์และกลุ่มอุตสาหกรรมยายนต์ที่มีการสั่งออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
การผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) ปัจจุบันมีออเดอร์เพิ่มสูงขึ้นมากตามความต้องการใ โดยเฉพาะขนาดตั้งแต่ 10 TB ขึ้นไปเพื่อการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทส่วนใหญ่ใช้เพื่อรองรับการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก
นอกจากนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวขึ่นของอุตสาหกรรมรถยนต์ยังเป็นโอกาสที่บริษัทจะค่อยๆปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับออเดอร์จากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต จากความต้องการที่เพิ่มมาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งในโรงงานแห่งใหม่ที่จะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 4/60 บริษัทได้แบ่งกำลังการผลิตบางส่วนไว้รองรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายของบริษัท แบ่งเป็น ยอดขายจากการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ 52% และอีก 48% เป็นยอดขายจากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ นาฬิกา และชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งยอดขายส่วนใหญ่จะมาจากในประเทศ 60% และอีก 40% เป็นต่างประเทศ
“ในอนาคตเราก็อาจจะมีการมองถึงการทำ Product ใหม่ๆ ออกมา แต่เราก็ต้องดุว่าสินค้านั้นผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าเรามีความต้องการมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องสอดคล้องไปกับตลาด แต่เราจะพยายามพัฒนาสินค้าของเราให้ช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าของเราได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ"นายพีท กล่าว
สำหรับการลงทุนในปีนี้บริษัทใช้เงินลงทุนทั้งหมดสำหรับในประเทศ 370 ล้านบาท เพื่อใช้สร้างโรงงานแห่งใหม่ในเฟสแรก จำนวน 100 ล้านบาท และการลงทุนเครื่องจักรใหม่ 270 ล้านบาท และลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องมือตัดเฉือนโลหะ (Cutting Tools) ในเวียดนาม จำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนแผนการลงทุนอื่นๆบริษัทจะเริ่มพิจารณาอีกครั้งในไตรมาส 3/60 เพราะบริษัทจะต้องศึกษาความต้องการของลูกค้าว่ามีความต้องการสินค้าประเภทใดมากที่สุด ซึ่งบริษัทยังมองว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ความต้องการใช้ฮาร์ดดิสก์ยังมากที่สุด
ส่วนการย้ายหลักทรัพย์ HTECH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพราะบริษัทหวังที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนหุ้น HTECH เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันนักลงทุนสถาบันต่างประเทศถือหุ้นบริษัทอยู่เพียง 6.99% แต่บริษัทยังไม่มีแผนการเดินสายโรดโชว์ให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความโดเด่นและความน่าสนใจในสายตานักลงทุน