นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่ เพลซ 2002 (RICHY) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าโครงการ The Rich @ นานา จะมีสัดส่วนการขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มเป็น 49% เต็มเพดานที่กฏหมายกำหนด จากปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจองห้องไปแล้ว 30% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด 427 ยูนิต
ทั้งนี้ เป็นผลจากในช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นตัวแทนนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (Sole Agent) จัดทริปลูกค้าจากประเทศจีนที่มีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไนไทยมาเยี่ยมชมโครงการ The Rich @ นานา ซึ่งหลังจากนั้นมีลูกค้าชาวจีนบางส่วนทยอยจ่ายเงินจองเข้ามาแล้ว และอีกส่วนหนึ่งอยู่ระหว่างรอการชำระเงินจอง
อนึ่ง โครงการ The Rich @ นานา มูลค่า 3.7 พันล้านบาท ได้เริ่มเปิดขายไปเมื่อเดือน พ.ค.59
นางอาภา กล่าวว่า การขายห้องชุดให้กับลูกค้าชาวต่างชาติจะต้องจ่ายเงินค่าจองก่อนที่โครงการจะออกใบจองให้ และในบางโครงการจะต้องชำระเงินค่าห้องทั้งหมดก่อนจะออกใบจองให้ เพราะบริษัทต้องการคัดเลือกลูกค้าที่มีศักยภาพจากผู้ที่มีความต้องการซื้อจริงและมีความพร้อมทางการเงิน เพื่อลดปัญหาสต็อกคงค้างในอนาคต
สำหรับการร่วมมือกับตัวแทนนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในวิธีการช่วยขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติให้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์การขยายฐายลูกค้าของบริษัทที่ทำร่วมกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ แต่บริษัทยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายของสัดส่วนยอดขายและรายได้ของลูกค้าต่างชาติไว้ในตอนนี้ เพราะการขายสินค้าให้กับลูกค้าต่างชาติจะต้องดูเป็นบางโครงการในบางทำเลที่มีการคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีนำเสนอโครงการอสังหาริมทรัพย์ในมือ 3-4 โครงการขายให้กับลูกค้าต่างชาติ แต่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อย โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าชาวจีนเป็นหลักที่มาซื้อโครงการของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทวางแผนการนำโครงการไปออกบูธในงานต่างประเทศเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำให้เป็นที่รู้จักของลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยจะเลือกประเทศที่เคยนำโครงการไปออกบูธในงานที่ประเทศบาร์เรนห์และฮ่องกงมาแล้วก่อนหน้านี้
นางอาภา กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงนี้ยังคงชะลอตัว จากกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างแข็งแกร่ง และการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อยอดขายของหลายบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับสูง เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดการพิจารณาสินเชื่อ ทำให้มีความเสี่ยงในแง่ของการโอนโครงการเกิดขึ้นได้ในโครงการกลุ่มล่าง-กลาง ซึ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับ 30% เท่ากับปีก่อน
อย่างไรก็ตาม RICHY ยังคงเป้าหมายผลการดำเนินงานในปีนี้ที่ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 568.24 ล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่อยู่ในยอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้จำนวน 1 พันล้านบาท จาก Backlog ปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 4 พันล้านบาท จากเดิมที่ระดับ 3.2 พันล้านบาทในช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/60 จะเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 เพราะปัจจุบันบริษัทได้เริ่มทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม The Rich สาทร-ตากสิน มูลค่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้ว 50% เป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง อีกทั้งบริษัทยังมีมูลค่าสต็อกพร้อมขายและพร้อมโอนกว่า 6-7 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อระบายสต็อกและสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท
แผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ยังคงไว้ที่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาท โดยช่วงที่ผ่านมาเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการ ริชพาร์ค ลอฟท์ @ หลักสี่สเตชั่น มูลค่า 1.5 พันล้านบาท และโครงการ THE EIGHT COLLECTION บนถนนวิสุทธิกษัตริย์ คอนโดมิเนียม Low Rise 7 ชั้น จำนวน 77 ยูนิต มูลค่าราว 500 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่เหลือมีกำหนดเปิดตัวในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้ เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ย่านโบ๊เบ๊ เจาะกลุ่มผู้ประกอบการในย่านดังกล่าว มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
"การขายโครงการในปีนี้ก็ยังมีความท้าทายและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำยอดขายได้มากๆ เพราะกำลังซื้อที่ยังไม่แข็งแกร่ง จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำลังซื้อในระดับล่าง-กลาง ที่ยังไม่เห็นการฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบต่อภาพรวมทั้งตลาด ตรงนี้เราก็ไม่ได้เร่งการขายมาก เพราะเราไม่สามารถไปกระตุ้นลูกค้าได้ หากลูกค้ามีความพร้อมและต้องการซื้อจริงๆลูกค้าก็จะเข้ามาเอง ซึ่งในส่วนของริชชี่แม้ว่าบางโครงการยอดขายจะไม่สูงมาก แต่ก็มีลูกค้าเข้ามาซื้ออยู่เรื่อยๆ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะเพื่อให้ภาวะต่างๆฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น"นางอาภา กล่าว
สำหรับการเพิ่มทุนของบริษัทล่าสุดจำนวน 157,079,996 หุ้น มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุนในการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 61 ในสัดส่วน 50% ของวงเงินทั้งหมด ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าการเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าจะมีจำนวน 4 โครงการ และเงินส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในไตรมาส 3/60 เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดในเดือน ส.ค.และก.ย. มูลค่า 600 ล้านบาท