โบรกเกอร์แนะนำ "ซื้อ" บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 น่าจะเติบโตต่อเนื่อง เป็นไปตามอัตราค่าโฆษณา และอัตราการเช่าช่วงเวลาโฆษณาที่ปรับตัวสูงขึ้น จากรายการยอดนิยม The Mask Singer, I Can See Your Voice Thailand, ปริศนาฟ้าแลบ, ไมค์หมดหนี้ เป็นต้น และรายการใหม่ Big Format ที่ซื้อลิขสิทธิ์จากเกาหลี และ We Kid Thailand ที่น่าจะส่งผลทำให้เรตติ้งเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ มีรายการใหม่เข้ามาเพิ่มเติมอีก คือ My Little TV, The X-Factor Thailand และ Volleyball Match เป็นต้น ก็น่าจะเพิ่มเรตติ้งให้กับช่วง Primetime ในวันอื่นๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/60 ผลการดำเนินงานน่าจะชะลอตัวลง เป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรม และปัจจัยภายในประเทศ แต่เชื่อว่า WORK จะยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งมากกว่าปีก่อนได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 อยู่ที่ 602 -715 ล้านบาท เทียบกับปี 59 ที่มีกำไรสุทธิ 198.63 ล้านบาท
ราคาหุ้น WORK อยู่ที่ 65 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวลา 15.15 น. สวนกับดัชนี SET ลบ 1.88 จุด (-0.12%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ทิสโก้ ซื้อ 74.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 73.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 69.00 เออีซี ซื้อ 67.00
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ คาดว่า กำไรสุทธิในไตมาส 2/60 จะเติบโตต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 236 ล้านบาท จากรายได้ธุรกิจทีวีที่เพิ่มขึ้น ทั้งอัตราค่าโฆษณา และการเช่าช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้น โดยคาดอัตราการเช่าช่วงเวลาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 77% เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และอัตราค่าโฆษณาที่ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 75,000 บาท/นาที จากไตรมาสแรกอยู่ที่ 62,000 จากเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากรายการที่เป็นที่นิยม ได้แก่ The Mask Singer, I Can See Your Voice Thailand, ปริศนาฟ้าแลบ, ไมค์หมดหนี้ เป็นต้น ทำให้สามารถปรับค่าโฆษณาที่ขายแยกรายการได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ The Mask Singer ได้ปรับขึ้นราว 33% เป็นเฉลี่ยที่ 4 แสนบาท/นาที
ในครึ่งปีหลังนี้จะมีรายการใหม่ ได้แก่ We Kid Thailand, Let Me in Thailand 3, The X Factor Thailand, My Little TV, Volleyball Match เป็นต้น โดยวางงบการผลิตรายการปีนี้ไว้ที่ 780 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานทั้งปี คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 634 ล้านบาท จากอัตราค่าโฆษณา และเรตติ้งที่เพิ่มขึ้น โดยเรตติ้งทั่วประเทศช่อง WORK 18 ชม. ในเดือน มิ.ย 60 ยังครองอันดับ 3 ต่อเนื่องอยู่ที่ 1.48 และเรตติ้งช่วง primetime ของกรุงเทพฯ WORK ได้แซงผู้นำช่อง 3 และช่อง 7 ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 3.91
สำหรับกรณีการโฆษณาผ่าน Over The Top (OTT) ที่ กสทช. ขอความร่วมมือจาก Youtube และ Facebook ให้มาจดทะเบียนในประเทศไทยนั้น บริษัทได้เปิดเผยว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากปัจจุบัน WORK มี Workpoint Official Channel บน Youtube และได้จดทะเบียนกับ กสทช.แล้ว โดยลูกค้าหรือเอเจนซี่สามารถซื้อโฆษณากับบริษัทได้โดยตรง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 2/60 จะทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากอัตราค่าโฆษณาที่ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การขายโฆษณาช่วง Primetime แยกออกจาก Package ปกติ รวมถึง Utilization Rate ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น เป็น 77%
อย่างไรก็ตามมองแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4/60 น่าจะชะลอตัวลง จากปัจจัยภายในประเทศ และผลกระทบจากช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 แต่เชื่อว่าความมั่นใจต่างๆจะกลับมาได้เร็วกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดกำไรสุทธิปีน่าจะเติบโตราว 255% มาอยู่ที่ 715 ล้านบาท
"ครึ่งปีหลังนี้เป็นช่วงของพระราชพิธี ทำให้อุตสาหกรรมสื่อโฆษณา ทีวีดิจิทัล น่าจะชะลอตัวลง แต่น่าจะส่งผลกระทบน้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทำให้ทั้งปีบริษัทน่าจะเติบโตกว่าปีก่อน ขณะที่ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทก็จะมีรายการใหม่เพิ่มเข้ามาอีก เพื่อเพิ่มช่วง Primetime ในวันอื่นๆ"นักวิเคราะห์ กล่าว
น.ส.พรสุข อมรวดีกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/60 จะเติบโตต่อเนื่อง จากอัตราการใช้เวลาโฆษณา (Utilizaton Rate) เพิ่มเป็น 70-75% จากไตรมาสแรกที่ 60% เนื่องจากเข้าช่วง High season ของตลาดโฆษณา และคาดช่อง WPTV ยังมีความสามารถในการปรับขึ้นค่าโฆษณาได้โดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม เป็นระดับ 72,000-75,000 บาทต่อนาที จากตัวเลขเรตติ้งเฉลี่ยเพิ่มต่อเนื่อง ทั้งรายการ The Mask Singer Season 2 ,I can see Your Voice Thailand, ไมค์ทองคำ 5, ปริศนา ฟ้าแลบ เป็นต้น
ขณะที่มองภาพรวมครึ่งปีหลังนี้ ทิศทางน่าจะชะลอลงจากครึ่งปีแรก จากค่าใช้จ่ายในเรื่องของพนักงานในช่วงไตรมาส 4/60 และปัจจัยภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตามในไตรมาส 3/60 บริษัทจะมีรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์จากเกาหลีเช่นกัน คือ My Little TV และจากสหรัฐ The X-Factor Thailand รวมทั้งการถ่ายทอดสดกีฬาวอลเลย์บอล FIVB เป็นต้น ทำให้เรตติ้งน่าจะปรับตัวสูงขึ้น
"ทิศทางครึ่งปีหลังน่าจะชะลอตัวลง จากครึ่งปีแรก เนื่องจาก WORK จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของพนักงานเข้ามาในไตรมาส 4 นี้ ค่อนข้างมาก และปัจจัยภายในประเทสเอง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณา ทีวี แต่ในไตรมาส 3 WORK จะมีรายการใหม่จากต่างประเทศเข้ามา ก็ต้องดูว่าเรตติ้งจะเพิ่มขึ้นได้มากแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาเรตติ้งของช่องก็เพิ่มสูงขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว"น.ส.พรสุข กล่าว
บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตราว 3,600 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 3,300-3,400 ล้านบาท ได้แรงหนุนจากรายได้ของช่อง WPTV ที่คาดเติบโตโดดเด่น หลังรายการทีวีหลายรายการได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เห็นได้จากเรตติ้งในช่วงไตรมาสแรกที่ปรับตัวสูง เช่น The Mask Singer 2, I Can See Your Voice, ปริศนาฟ้าแลบ และ ไมค์ทองคำ รวมถึงรายได้ช่องทางออนไลน์ที่คาดเติบโตดี หลัง WPTV มียอดเข้าชมและติดตามผ่านสื่อออนไลน์เป็นอันดับ 1 ในไทย สอดคล้องกับแผนการตลาดที่จะเน้นขายโฆษณาผ่านช่องทางดังกล่าวมากขึ้น และรายได้ธุรกิจจัดคอนเสิร์ต และ Event คาดยังปรับตัวดีขึ้นตามจำนวนงานที่เพิ่มขึ้น
กำไรสุทธิปีนี้คาดจะอยู่ที่ 602 ล้านบาท จากแผนเพิ่มรายการที่มีศักยภาพสูงอีกกว่า 6 รายการ ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป ทดแทนรายการที่มีเรตติ้งต่ำ หรือช่วงที่เป็นรายการ Re-Run ซึ่งจะช่วยสนับสนุนอัตราค่าโฆษณา และอัตราการใช้เวลาโฆษณา (Utilization Rate) ให้ปรับตัวดีขึ้น