นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2560 วันนี้ มีผู้ถือหุ้นจำนวนมากกว่า 3 ใน 4 เห็นชอบให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด จำนวน 10 ล้านหุ้น มูลค่าทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความร่วมมือระยะยาวระหว่างกันในการพัฒนาคอนโดมิเนียม ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ของตลาด เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ (Synergy) ระหว่างกัน รวมถึงเสริมกำลังการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์และการเจาะตลาดผู้บริโภคชาวต่างชาติให้แก่บริษัท
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังอนุมัติให้บริษัทจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัดของบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด จำนวน 81,197,171 หุ้น มูลค่าทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของทุนจดทะเบียน ให้แก่ นางจรัสพิมพ์ ลิปตพัลลภ 56,838,020 หุ้น หรือราว 3.5% ของทุนจดทะเบียน นายธงชัย บุศราพันธ์ 12,179,576 หุ้น คิดเป็น 0.75% และนางนุ่น ทวีศรี 12,179,575 หุ้น คิดเป็น จำนวน 0.75%
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติการเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 10 คน เป็น 11 คน และอนุมัติการแต่งตั้งนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ เป็นกรรมการใหม่ของบริษัท
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า การชำระราคาหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ มูลค่าทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาทนั้น บริษัทมีแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท แบ่งเป็นการชำระด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3,000 ล้านบาท อาวัลโดยธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย แบ่งชำระเป็น 3 งวด โดยชำระงวดสุดท้ายในวันที่ 2 เม.ย. 61 ขณะที่อีก 1,000 ล้านบาท จะชำระด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 2-4 ของปี 60 รวมถึงรายได้จากโครงการแล้วเสร็จและทยอยโอนใหม่อีก 7 โครงการในปีนี้
ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้น บริษัทจะมีแบ็กล็อกเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาท อยู่ในระดับท็อป 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และมีแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้งหมด 4 แบรนด์ ได้แก่ เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และแบรนด์ใหม่คือพาร์ค เพื่อใช้เจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนต์
“ก่อนหน้านี้ บริษัทวางเป้ารายได้ของบริษัทในปี 60 ไว้ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยมีแบ็กล็อกรออยู่แล้วราว 92% แต่เมื่อผนึกกำลังกับพราวด์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งมีแบ็กล็อกอยู่แล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งพร้อมทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะทำให้บริษัทมีทั้งแบ็กล็อกและรายได้เพิ่มขึ้นทันที โดยหลังจากนี้ บริษัทจะปรับเป้ารายได้ให้สอดคล้องกับการเติบโตไปสู่ก้าวใหม่ของบริษัท คาดว่าจะประกาศเป้าหมายรายได้ใหม่อย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้" นายพีระพงศ์ กล่าว
ปัจจุบัน ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร