นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 60 จะอยู่ที่ระดับ 1,520-1,627 จุด บน P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 15.8 เท่า และคาดมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 4.3 หมื่นล้านบาท โดยมองทิศทางตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนี้คาดจะแกว่งไซด์เวย์ไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน โดยแนะนักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีการเติบโตดี เช่น SWAD, BEAUTY, COM7, IVL, KKP และ STEC เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้ (Eps growth) จะเฉลี่ยอยู่ที่ 103 บาท/หุ้น หรือเติบโตราว 5-6% จากคาดเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ในระดับ 3.5% และการส่งออกน่าจะเติบโตได้ราว 5%
ขณะเดียวกันมองกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 2/60 ที่เริ่มทยอยประกาศออกมา น่าจะเห็นเซอร์ไพร์สในหุ้นกลุ่ม ICT เช่น ADVANC ตลาดคาดการณ์ว่ากำไรจะลดลงราว 10% แต่ บล.บัวหลวง มองว่าน่าจะไม่ถึง เนื่องจากเชื่อว่าไตรมาส 2/60 จะเติบโตดีต่อเนื่อง และ DTAC ก็น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มเห็นการกลับเข้ามาของจำนวนผู้ใช้ หลังมีการเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับ TOT รวมถึงหุ้นกลุ่มแบงก์ที่คาดมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยราว 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญปรับตัวลดลง
นายชัยพร กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พาบริษัทจดทะเบียนไทยเดินทางไปให้ข้อมูล (โรดโชว์) แก่ผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) โดยบรรยากาศของการไปโรดโชว์ครั้งนี้ ผู้เข้าฟังมีจำนวนน้อยลงจากนักลงทุนต่างชาติมีความสนใจในตลาดหุ้นไทยลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจากอัพไซต์ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด และนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังคงรอดูในเรื่องของการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC), การบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งหาก 2 ปัจจัยนี้มีความชัดเจนมากกว่านี้ ก็น่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ (Fund Flow) เข้ามามากขึ้น
"ปีนี้เราเห็น Earnings momentum ตลาดอื่นดีกว่าเรา ซึ่งคงเป็นเหตุผลที่นักลงทุนต่างชาตินำเงินไปเข้าตลาดหุ้นอื่น ซึ่ง Earnings momentum ตลาดหุ้นไทยอาจจะอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับเอเชียด้วยกัน เพราะตลาดของเราอาจจะมีไอทีน้อย ขณะที่มองภาพตลาดใน 6 เดือนข้างหน้า ตลาดน่าจะมีอัพไซต์ที่จำกัด เห็นได้จากตลาดอื่น P/E ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 15-20% ของเราขึ้นเพียง 2% และเมื่อเทียบระหว่างอาเซียนด้วยกัน เรา discount ประมาณ 8% อย่างไรก็ตาม หากมองต่างชาติจะขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย คงมีน้อยแล้ว จากปัจจุบันการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 30% ของมาร์เก็ตแคป ซึ่งต่ำกว่าปกติ จากปกติอยู่ที่ 38-39% รวมถึงกำไรบจ. ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ราว 5-6% และอัตราเงินปันผลของเราอยู่ที่ 3.2% ถือว่าอยู่ในอันดับต้นของเอเซียที่มีการจ่ายปันผลค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม มองว่าหากตัวเลขเศรษฐกิจของไทยมีการฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งกำลังซื้อ การบริโภคดีขึ้น รัฐบาลมีการลงทุน น่าจะส่งผลต่อความมั่นใจการลงทุนของต่างชาติมากขึ้น"นายชัยพร กล่าว
ขณะที่ในเรื่องของการส่งออก ต่างชาติไม่ได้มีความกังวลมากนัก จากการส่งออกของไทยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เห็นได้จากช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกขยายตัวได้ราว 13-16% และทั้งปี บล.บัวหลวง คาดการส่งออกจะเติบโตได้ราว 5% ส่วนการท่องเที่ยวก็มีการเติบโตต่อเนื่อง แม้นักท่องเที่ยวชาวจีนจะชะลอตัวลงไปราว 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม มองการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้จะอยู่ที่ 3.5% ด้านการลงทุนภาคเอกชนปีนี้ มองว่ายังคงชะลอตัว จากการใช้กำลังการผลิตที่ยังต่ำอยู่ แม้ว่ารัฐบาลจะมีการผลักดันการลงทุน เช่น การเซ็นสัญญาการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งกว่าจะเห็นความชัดเจนน่าจะเป็นปีหน้า แต่เชื่อว่าการลงทุนภาคเอกชนน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป โดยเฉพาะการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์
นายชัยพร กล่าวว่า ปัจจุบันการซื้อขายหุ้นผ่านระบบ BLOCK TRADE ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการเก็งกำไรในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ของหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET50 เห็นได้จากสัดส่วนการซื้อขายพอร์ตการลงทุนโบรกเกอร์ที่อยู่ราว 1 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นกว่า 100% จาก 2-3 ปีก่อนหน้า และเชื่อว่าการซื้อขายหุ้นผ่านระบบดังกล่าวจะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนักลงทุนเริ่มใช้เครื่องมือในการเลงทุนมากขึ้น และค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าการซื้อขายหุ้นปกติ หรือต่ำกว่า 40%