นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ภาพการลงทุนไตรมาส 3/60 คาดว่า ตลาดหุ้นไทยอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก หลังจากที่สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นมามาก อีกทั้งยังอาจได้รับแรงกดดันจากแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นทั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป และ อังกฤษ อย่างไรก็ดี แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยลักษณะของการลงทุนจะเป็นแบบ Rotation ระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาด
“กระแสเงินทุนแม้ว่าจะมีการไหลเข้ามาในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่เป็นการไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้มากกว่าตราสารทุน สะท้อนจากค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นยังเคลื่อนไหวในกรอบ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การเปิดประมูลโครงการลงทุนภาครัฐ และผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวของบริษัทจดทะเบียนจะเข้ามาช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ หากพิจารณาสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้ โดยรวมมองว่าหากดัชนีมีการปรับตัวลดลงถือเป็นโอกาสในการสะสม" นายพจน์ กล่าว
นายพจน์ กล่าวว่า สัปดาห์นี้ดัชนีมีโอกาสเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 1,560-1,600 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าสนับสนุนตลาด โดยยังคงแนะนำติดตาม รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/60 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งเริ่มมีการคาดการณ์ว่า จะมีแนวโน้มฟื้นตัวจาก ไตรมาสก่อน และความคืบหน้าของโครงการภาครัฐ ทั้งนี้ กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชียอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ธนาคารกลางสหรัฐอาจต้องชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยให้ได้อานิสงค์จากประเด็นดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นยังค่อนข้าง Laggard พอสมควร ทั้งนี้ คาดการณ์อัตราการจ่ายเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยของปีหน้าที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 3 - 3.2%
สำหรับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐและตลาดหุ้นไทยที่ Laggard ตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งเอื้อต่อผลการดำเนินงานของกองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีมติประกาศจ่ายปันผล 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มหุ้นคุณค่าปันผล (1VAL-D) จากกำไรสุทธิของผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 1.538 บาท โดยมีกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 และ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF (1DIV) จากกำไรสุทธิของผลการดำเนินงาน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.4566 บาท มีกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 สิงหาคม 2560